เพนกวินสกอตแลนด์เลื่อนขั้นติดยศ ‘เซอร์'

 เพนกวินชื่อดังของสวนสัตว์สกอตแลนด์ได้รับการประดับยศอัศวินเป็นระดับ ‘เซอร์' โดยพิธีการประดับยศเลื่อนขั้นจากเพนกวินสามัญชน ให้กลายเป็นเพนกวินชั้นอัศวินนี้ ได้รับการแต่งตั้งโดยกองทัพนอร์เวย์ ซึ่งวันที่ประดับยศกองทหารนอร์เวย์ได้เดินทางมาสกอตแลนด์เพื่อติดยศที่ปีก พร้อมมีพิธีสวนสนามให้ด้วย นั่นทำให้ นิลล์กลายเป็นเพนกวินตัวแรกของสวนสัตว์ (และน่าจะของโลก) ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกของกองทหารนอร์เวย์ เนื่องจากทางสวนสัตว์มีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ กับกองทหารรักษาพระองค์นอร์เวย์ และทางสวนสัตว์ถือว่าพิธีนี้เป็นเกียรติอย่างยิ่ง เนื่องมาจากเมื่อ 40 ปีที่แล้ว เรือโท นิลส์ เอจีเลียน ทหารนอร์เวย์ เดินทางมาแวะที่สวนสัตว์บ่อยๆ ทุกปีเพื่อเยี่ยมเพนกวิน เพราะถือว่าเพนกวินเป็นตัวนำโชคของกองทัพ กระทั่งเมื่อ 20 กว่าปีก่อนที่นีลส์จะเสียชีวิต ทางสวนสัตว์จึงนำมาชื่อของเขามาตั้งให้กับนกเพนกวินเพื่อเป็นเกียรติ ก่อนที่จะมีพิธีติดยศให้เพนกวินเพื่อเป็นเกียรติและรำลึกถึงเขา
Text : พลสัน นกน่วม

"อังกฤษ"พิมพ์หนังสือมากสุดในโลก ไฉนถูกตั้งคำถามยุคเฟื่องฟู หรือยุคการพิมพ์กำลังตาย?

สถิติเผย ปี 2556 อังกฤษพิมพ์หนังสือเกือบ 2,875 เล่ม ต่อจำนวนประชากร 1 ล้านคน มากกว่าที่ใดในโลก ขณะที่ในปี 2557 สำนักพิมพ์ในสหราชอาณาจักร พิมพ์หนังสือมากกว่า 20 เล่ม ทุกชั่วโมง! เดอะ การ์เดียน เผยรายงานจากสมาคมสำนักพิมพ์ระหว่างประเทศที่รวบรวมข้อมูลจาก 40 ประเทศทั่วโลก ระบุว่า ผู้จัดพิมพ์หนังสือในสหราชอาณาจักรนั้นตีพิมพ์หนังสือใหม่ และพิมพ์ว้ำหนังสือกว่า 184,000 เล่ม ในปี 2556 ในจำนวนนี้ เป็นอีบุ๊ก 60,000 เล่ม ซึ่งเท่ากับตีพิมพ์หนังสือราว 2,875 เล่ม ต่อประชากร 1 ล้านคน ทำให้สหราชอาณาจักรเป็นประเทศที่มีการจัดพิมพ์หนังสือเทียบกับจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก ทั้งนี้ ประเทศและเขตเศรษฐกิจกลุ่มที่มีการจัดพิมพ์หนังสือเกิน 1,000 เล่ม ต่อประชากร ได้แก่ ไต้หวัน, สโลวีเนีย, ออสเตรเลีย ขณะที่สหรัฐตีพิมพ์เพียง 959 เล่มต่อจำนวนประชากรเท่านั้น ข้อมูลในอังกฤษดังกล่าวมาจาก สมาคมสำนักพิมพ์ในสหราชอาณาจักร ห้องสมุด และ ตัวแทนผู้ออกเลขเรียกหนังสือ ISBN แห่งชาติ โดยไม่ได้รวมเอาหนังสือที่มีการจัดพิมพ์อย่างอิสระมารวมด้วย จอห์นนี เกลเลอร์ ดีลเลอร์หนังสือจากเคอร์ติส บราวน์ ระบุว่า ตัวเลขดังกล่าวนี้เป็นสัญญาณว่า อังกฤษกำลังเข้าสู่ยุคเฟื่องฟูทางวัฒนธรรม หรือไม่ก็ยุคการพิมพ์กำลังตาย เขากล่าวว่า "แน่นอนว่าเป็นเรื่องบ้าคลั่ง ที่จะพิมพ์หนังสือต่อประชากรเยอะมาก ในขณะที่โดยเฉลี่ยแล้ว คนอ่านหนังสือกันเพียง 1-5 เล่มต่อปีเท่านั้น แล้ว 184,000 เล่มที่เหลือนั้นจะกลายเป็นของใช้หรูหราที่ไร้ประโยชน์อย่างนั้นหรือ?" ด้านเจมี่บังจากแคนนอนเกต สำนักพิมพ์อิสระ แสดงความกังวลว่า "ผมว่าเราพิมพ์หนังสือมากเกินไป รวมทั้งสำนักพิมพ์เราด้วย และมันทำให้เกิดผลเสียต่อคุณภาพของอุตสาหกรรมในภาพรวม เป็นเรื่องง่ายที่เราจะเป็นเจ้าของหนังสือ แต่เป็นเรื่องยากที่เราจะพิมพ์หนังสือที่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น หนังสือยิ่งน้อยเท่าไหร่ ก็จะยิ่ง...ยิ่งดีกว่าเท่านั้น" อย่างไรก็ตาม คนในแวดวงหนังสือหลายคนยังมองสถานการณ์นี้ในแง่บวก โรแลนด์ ฟิลิปส์ ผู้อำนวยการบริหารจากจอห์น เมอร์เรย์ ระบุว่า "สำหรับวัฒนธรรมที่หลากหลาย หนังสือนั้นเป็นสิ่งสำคัญ และสำนักพิมพ์นั้นกำลังเปิดโอกาสให้ความคิดเห็นทั้งหลายที่สมควรได้รับความสนใจนั้นมาอยู่บนแผงหนังสือ แม้ว่าหลายความเห็นอาจจะไม่ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสังคม" ส่วนเจนน์ แอชเวิร์ธ นักเขียนเจ้าของรางวัลเบตตี้ ทรัสก์ จากหนังสือเล่มแรก "A Kind of Intimacy" เห็นด้วยว่า "หนังสือที่เพิ่มขึ้น และมีคนที่พูดคุยกันเรื่องหนังสือมากขึ้นนั้นเป็นเรื่องยอดเยี่ยม บางทีชาวอังกฤษควรจะรับฟังความเห็นมากขึ้น แทนที่จะพูด และอ่านนิยายแปลให้มากขึ้น เป็นเรื่องแย่ที่มีบรรณารักษ์ที่สามารถแนะนำผู้อ่านให้เจอหนังสือที่ยอดเยี่ยมน้อยลง แต่การที่มีคนอ่านและเขียนหนังสือมากขึ้น แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องแย่เลย" ทั้งนี้ ในภาพรวม สหราชอาณาจักรเป็นประเทศที่มีการตีพิมพ์หนังสือมากเป็นอันดับ 3 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในยุโรป โดยประเทศจีน พิมพ์หนังสือมากเป็นอันดับ 1 โดยพิมพ์หนังสือใหม่ 444,000 เล่ม (เทียบกับจำนวนประชากรต่อ 1 ล้านคนเท่ากับ 325 เล่ม) และอันดับ 2 คือ สหรัฐฯ พิมพ์หนังสือใหม่ 304,912 เล่ม (959 เล่มต่อประชากร 1 ล้านคน) ริชาร์ด โมเลต์ ผู้อำนวยการบริการของสมาคมสำนักพิมพ์สหราชอาณาจักรระบุว่า สหราชอาณาจักรนั้นถือว่าเป็นผู้นำในด้านการส่งออก และกำลังชิงความได้เปรียบจากการใช้ภาษาอังกฤษ ความสร้างสรรค์แบบบริติช นวัตกรรม และประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมการพิมพ์ เขากล่าวว่า "การพิมพ์หนังสือของอังกฤษนั้นเป็นศูนย์กลางของความสำเร็จในเรื่องอุตสาหกรรมด้านความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งแสดงถึงสภาพกฎหมายและการค้าขายในประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายเรื่องลิขสิทธิ์ของเราที่ยิ่งส่งเสริมให้สภาวะเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง" จอห์นนี เกลเลอร์ เสริมว่า "เราอาจต้องเปลี่ยนความคิด และมองว่าอุตสาหกรรมการพิมพ์นั้นมีความสำคัญ เนื่องจากมีมูลค่าการส่งออกกว่า 1.5 พันล้านยูโร และต้องร่วมกันเรียกร้องการส่งเสริมด้านลิขสิทธิ์และภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย"

5 อันดับหนังสือขายดีที่บูธมติชน

ผ่านมา 1 อาทิตย์แล้วกับงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 19 งานหนังสือใหญ่ปลายปีที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่พร้อมใจมาร่วมออกบูธเป็นจำนวนมาก บรรดาหนอนหนังสือต่างทยอยมาจับจองหนังสือเล่มโปรดในงานกันอย่างหนาแน่นไม่ขาดสาย และไม่แพ้ใครกับบูธมติชน โซนพลาซ่าที่งานนี้ยกขบวนพาเหรดหนังสือดี หนังสือเด่น มาเอาใจนักอ่านอย่างจุใจ โดย 5 อันดับหนังสือขายดีที่บูธมติชน อันดับ 1 มาแรงแซงโค้งกับหนังสือกระแสแรงอย่าง" I Am Malala" โดยมาลาลา ยูซัฟไซและคริสติน่า แลมบ์ แปลโดย สหชน สากลทรรศน์ การันตีด้วยการคว้ารางวัลโนเบิล สาขาสันติภาพ ปีล่าสุดมาครอง ด้วยการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพทางการศึกษา ท่ามกลางความรุนแรงภายในปากีสถานของเธอและได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ "I Am Malala" ซึ่งหนังสือที่ถ่ายทอดประวัติศาสตร์บุคคลสำคัญสำคัญของโลกแบบนี้ นอกจากจะสามารถส่งแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านแล้ว ยังทำให้เราได้ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและป้องกันไม่ให้ผิดพลาดซ้ำในอนาคต อันดับ 2 กับนักเขียนอารมณ์ดี "หนุ่มเมืองจันท์" กับผลงานล่าสุด "คือลมหายใจ ไม่ใช่อากาศ" (ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ ลำดับที่ 23) กับหนังสือเล่มที่จะทำให้คุณรู้ว่า ถ้าคิดว่าเป็นแค่ "อากาศ" คุณจะปล่อยผ่านไป แต่ถ้ารู้ว่าสิ่งนั้นคือ "ลมหายใจ" คุณจะรักษาไว้ยิ่งชีพ หนังสือที่อ่านแล้วจะทำให้คุณเกิดแรงใจและกำลังใจที่ดี อันดับ 3 กับ"ราชันผู้พลัดแผ่น เมื่อพม่าเสียเมือง" โดยSudha Shah แปลโดย สุพัตรา ภูมิประภาส หนังสือเล่มเดียวในปัจจุบันที่จะทำให้ประวัติศาสตร์อันเลือนรางของราชวงศ์พม่าหลังสิ้นท่าให้กับเจ้าอาณานิคมอังกฤษฉายฉานและแจ่มชัดยิ่งขึ้นเป็นอีกหนึ่งเล่มที่สำนักพิมพ์มติชนภูมิใจนำเสนอ ตามมาติดๆกับ อันดับ 4 "เส้นทางพยัคฆ์ ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ของนักเขียนหญิงคนเก่ง "วาสนา นาน่วม" กับผลงานเล่มล่าสุดที่ได้มาเผยประวัติเบื้องลึกและเส้นทางกว่าจะก้าวมาอยู่ในบทบาทของ"นายกรัฐมนตรีคนที่ 29" ของประยุทธ์ จันทร์โอชา แฟนนักอ่านพลาดไม่ได้ อันดับที่ 5 กับหนังสือเด่นประจำปีที่บูธมติชน"ศาสตร์แห่งโหร 2558" หนังสือเด่นประจำปีของสำนักพิมพ์มติชน รับประกันความแม่นยำเป็นปีที่ 34 อัดแน่นไปด้วยการทำนายดวงชะตา โหราศาสตร์ และโชคชะตา-ราศี จัดเต็มกับขบวนโหราจารย์คุณภาพถึง 12 คน อาทิ หมอทรัพย์ สวนพลู โหราจารย์ระดับตำนาน มีแฟนคลับติดตามอย่างเหนียวแน่น, บุศรินทร์ ปัทมาคม เจาะลึกลัคนาราศีแบบรายเดือน, โสรัจจะ นวลอยู่ หรือ "นอสตราดามุสเมืองไทย" ชี้ดวงเมืองอย่างเผ็ดร้อนและน่าติดตาม และอีกหลากหลายหนังสือขายดีที่รอท่านนักอ่านอยู่ ติดตามหาอ่านกันได้ และพิเศษสุดเฉพาะในงานนี้เท่านั้นท่านจะได้พบกับโปรโมชั่นสุดพิเศษเอาใจคนรักหนังสือเช่นคุณ ที่บูธมติชน โซนพลาซ่า แฟนคลับนักอ่านพลาดไม่ได้...

โปรเด็ด หนังสือโดน มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 19

ต้องบอกว่าโปรแรงทุกปี สำหรับมหกรรมหนังสือระดับชาติ โดยปีนี้ถือเป็นครั้งที่ 19 แล้ว สำหรับงานหนังสือดีๆ ที่หนอนหนังสือทุกคนเฝ้ารอ สำหรับ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 - 26 ตุลาคม 2557 โดยมีสำนักพิมพ์ชั้นนำกว่า 400 แห่งทั่วประเทศเข้าร่วมจำหน่ายหนังสือในงาน แต่สำนักพิมพ์ไหนมีโปรโมชั่นอะไรบ้างติดตามได้เลย...
เริ่มกันที่บูธ แจ่มใส ปีนี้แจ่มใสเตรียมส่งความสุขเอาใจแฟนๆนักอ่าน ด้วยผลงานล่าสุดใหม่แกะกล่องจากทัพนักเขียนคุณภาพ ที่มาพร้อมส่วนลด 15% ทุกเล่ม และกิจกรรมพิเศษมากมาย อาทิ Jamsai Carnival ซื้อสนุกช็อปสนั่นกับหนังสือบุปเฟ่ต์ราคาพิเศษ 199 และ 399 บาท รวมถึงของแถมอีกมากมายที่ บูธแจ่มใส Y10 โซน Hall A นะจ๊ะ หรือใครไม่สะดวกเดินทางไปในงานสามารถเต็มอิ่มกับนิยายรักแจ่มใสด้วยส่วนลดและโปรโมชั่นแบบเดียวกันนี้ที่ แจมคลับ (ซอยแซมมี่ ข้างเมเจอร์ปิ่นเกล้า)

ด้านสำนักพิมพ์ ขวัญใจวัยรุ่น แซลมอน บุ๊ค หลังเป็นที่รู้จักเมื่อต้นปีที่ผ่านมาจากคลิปสุดฮา BKK 1st Time : ตอนโดนคนไทยด่าครั้งแรก ที่นำเอาลุงเนลสัน ฮาวร์ มาสัมภาษณ์ประสบการณ์โดนคนไทยด่าครั้งแรก ล่าสุดสำนักพิมพ์แซลมอน บุ๊ค ได้ปล่อยคลิปใหม่ล่าสุดออกมาแล้ว โดยจับลุงเนลสันคนเดิมมาร้องเพลงฮิต คืนความสุขให้ประเทศไทย โดยในงานมหกรรมหนังสือครั้งนี้สำนักพิมพ์แซลมอนก็ไม่ลืมพาลุงเนลสันมาให้แฟนๆ ได้พบตัวจริง ใครอยากเจอลุงเนลสันก็ไปเจอได้วันที่ 18 และ 23 ตุลาคมนี้ เวลา 12.00 น. - 14.00 น.
ขณะที่ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ปีนี้นำหนังสือที่น่าสนใจหลายเล่มหลากประเภทมานำเสนอให้กับผู้อ่านอีกเช่นเคย โดยหนังสือที่เด่นมากคือ "I am Malala" หนังสือที่นักอ่านจากทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ นอกจากนี้ สำนักพิมพ์มติชนยังมีหนังสือที่น่าสนใจอีกหลายเล่ม อาทิ ′เส้นทางพยัคฆ์ ประยุทธ์ จันทร์โอชา จาก′ทหารเสือ′สู่′หลังเสือ′ โดยวาสนา นาน่วม, ′คือลมหายใจ ไม่ใช่อากาศ′ หนังสือในชุดฟาสต์ฟู้ดธุรกิจของ ′หนุ่มเมืองจันท์′, ′ราชันผู้พลัดแผ่นดิน เมื่อพม่าเสียเมือง′ ของ Sudha Shah แปลโดยสุภัตรา ภูมิประภาส เป็นต้นhttp://www.youtube.com/watch?v=HM4KPTKu9Vg

ก.เอ๋ย ก.ไก่ ซ่อนอะไรใน แบบเรียน

"หยิบหนังสือของเราและปากกาของเราขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่ทรงอานุภาพกว่าอาวุธ เด็กคนหนึ่ง ครูคนหนึ่ง หนังสือหนึ่งเล่ม ปากกาหนึ่งด้าม สามารถเปลี่ยนโลกนี้ได้" คือคำที่ "" เด็กหญิงอายุ 17 ปีชาวปากีสถาน ได้กล่าวต่อหน้าสหประชาชาติเมื่อเธออายุครบ 16 ปีมาลาลา คือเด็กที่ลุกขึ้นมาต่อต้านตาลิบันที่ปิดกั้นการศึกษาในปากีสถาน เพราะต้องการควบคุมให้ผู้อยู่ใต้การปกครองไม่รู้หนังสือ
มาลาลาปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกตอนที่เธออายุเพียง 11 ขวบเท่านั้น โดยครั้งนั้น นายไซอุดดิน บิดาของเธอได้พาลูกสาวไปเข้าร่วมงานชุมนุมต่อต้านการโจมตีโรงเรียนสตรีของตาลิบัน
ในครั้งนั้น มาลาลาได้กล่าวสุนทรพจน์หัวข้อ "ตาลิบันอาจหาญอย่างไรในการระงับสิทธิขั้นพื้นฐานทางการศึกษาของฉัน" (How Dare the Taliban Take Away My Basic Right to an Education) จากนั้นเธอเริ่มมีชื่อเสียงจากการเขียนบล็อกให้ BBC ในชื่อ "กุล มาไค (Gul Makai)" และปรากฏตัวตามสื่อระดับนานาชาติ
มาลาลาเป็นเด็กผู้หญิงที่อยากเรียนหนังสือ อยากให้ทุกคนได้เรียนหนังสือ อยากให้สังคมมีเสรีภาพ อยากเห็นความเท่าเทียม อยากเห็นทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างได้ เธอเรียกร้อง เธอพูดในสิ่งที่เธอคิด... จนวันหนึ่งตาลิบันบุกถึงรถรับ-ส่งนักเรียน ในขณะที่เธอกำลังกลับจากโรงเรียนในวันนั้น มาลาลาในวัย 15 ปี โดนปืนโคลต์ .45 ยิงเข้าที่ศีรษะ
ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่อ่อนข้อ ไม่หยุดต่อสู้เพื่ออุดมคติของตนเองล่าสุดเมื่อไม่กี่วันมานี้ ชื่อของ "มาลาลา ยูซัฟไซ" เป็นข่าวดังไปทั่วโลกอีกครั้ง เพราะเธอได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ท่ามกลางความยินดีและเสียงชื่นชมเรื่องราวของมาลาลาอาจจะดูไกลตัว หากเรามองว่าเธอเป็นชาวต่างชาติ แต่หากมองประเด็นที่มาลาลาเรียกร้องคือสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาและความเสมอภาคในสังคม
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ห่างไกลใครเลย มนุษย์ทุกคนล้วนต้องการความเสมอภาคและต้องการการศึกษา เพื่อจะพัฒนาและยกระดับชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น ในประเทศไทยของเรามีการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีตำราเรียนที่รัฐจัดให้ประชาชน เราไม่โดนปิดกั้นการศึกษา แต่เราไม่อาจพูดได้เต็มปากว่า เราไม่โดนปิดกั้นความรู้และเรามีอิสระในการรับรู้ อีกทั้งเรายังไม่ตื่นตัวที่จะขวนขวายหาความรู้ ทั้ง ๆ ที่เรามีโอกาสเข้าถึงการศึกษามากกว่าหลาย ๆ ประเทศ
หากย้อนกลับไปมองอดีตอย่างพินิจพิเคราะห์ เราจะเห็นว่าแบบเรียนของไทยเรามีปัญหาอย่างไรบ้าง มีอะไรหรือไม่ที่แบบเรียนยังให้เราไม่มากพอ และมีบางอย่างที่แบบเรียนตั้งใจ "ยัด" ใส่เรา แต่ในตอนเป็นเด็กเรายังไม่รู้จักตั้งคำถามกับมัน ดังที่ "ปราบดา หยุ่น" นักเขียนเจ้าของรางวัลซีไรต์ ปี 2545 กล่าวว่า ตอนที่เรียนเรายังเป็นเด็ก เราอาจจะยังไม่ได้วิเคราะห์มันละเอียดชัดเจนขนาดนั้น แต่คิดว่ารัฐพยายามจำลองประเทศให้เป็นชุมชนเล็ก ๆ ตัวละคร ครอบครัว
ในเรื่องจะแทนอุดมคติที่ชาติต้องการให้ประชาชนคิด หรือมีแนวโน้มที่จะไปทางนั้น มันมีส่วนปลูกฝังความเชื่อและวิธีคิดบางอย่าง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเช่นกันกับ "จรัญ หอมเทียนทอง" นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) ที่กล่าวว่า แบบเรียนไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือการอ่านออกเขียนได้เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างพลเมืองตามอุดมคติของผู้นำในแต่ละยุค ผู้นำต้องการให้สังคมเป็นไปในทางไหนก็จะใส่ความคิดแบบนั้นลงไปในแบบเรียน ชาตินิยม คือสิ่งหนึ่งที่ตำราไทยปลูกฝังให้ประชาชนและเห็นผลเป็นที่สุด ภาพจำ-ทัศนคติที่คนไทยมองว่าเพื่อนบ้านคือศัตรู มองว่าเพื่อนบ้านด้อยกว่า ชาติไทยเหนือกว่า ล้วนแต่ได้รับการปลูกฝังมาจากแบบเรียนทั้งนั้น
หนังสือ "ชาตินิยมในแบบเรียนไทย" ของ สุเนตร ชุตินธรานนท์และคณะ ที่จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์มติชน ได้กล่าวไว้ว่า กระบวนการสร้างภาพลักษณ์ของชาติไทย และภาพลักษณ์ของประเทศรอบข้างที่ถูกปรุงแต่งขึ้น จนเกิดเป็นทัศนคติที่เป็นปรปักษ์ สอดแทรกสำนึกความเป็นชาตินิยมเป็นแก่นหลักในการเสนอชีวประวัติของชาติ และขับเน้นภาพความเป็นศัตรูของเพื่อนบ้านกระบวนการนี้ถ่ายทอดส่งผ่านออกสู่สาธารณะ ซึ่งกิจกรรมที่เป็นระบบที่สุดคือการส่งผ่านทางการศึกษาในระบบ ผ่านหลักสูตรการเรียนการสอนและแบบเรียน จนท้ายที่สุดก่อเกิดเป็นความทรงจำร่วมกัน และเป็น "ตำนานแห่งชาติ" ที่พร้อมจะถูกหยิบยืมไปเป็นมาตรฐานปรุงแต่งจินตนาการก่อเกิดเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ละครเวที ละครโทรทัศน์ ฯลฯ
หนังสือชาตินิยมในแบบเรียนไทยบอกว่า ปัญหาที่ไทยมีกับประเทศรอบข้างในปัจจุบันเป็นปัญหาใหม่และเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง จำเป็นต้องอาศัยการปรับโครงสร้างทางความรู้ใหม่ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนโลกทัศน์ใหม่ ซึ่งจุดเริ่มต้นการปรับโครงสร้างทางความรู้ใหม่จำเป็นต้องเริ่มจากสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด คือ การสำรวจสถานะขององค์ความรู้ที่มีอยู่เดิม เพื่อให้เข้าใจในข้อจำกัดและเพื่อความเป็นไปได้ในการแสวงหาหรือกำหนดทิศทางใหม่ให้แก่สังคมในการศึกษาและทำความเข้าใจเพื่อนบ้านต่อไปในอนาคต
ส่วน จรัญ หอมเทียนทอง กล่าวว่า หนังสือเป็นตัวจะนำพาประเทศเราไปสู่ความสำเร็จ การอ่านเป็นการทลายกำแพงความโง่เขลา เกาหลีใช้เวลาสามสิบปีในการพัฒนาประเทศ ก้าวข้ามหลายประเทศไป เช่นกันกับแนวคิดของงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 19 ที่จะจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันที่ 15-26 ตุลาคมนี้ ทางสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยจะจัดงานขึ้นในแนวคิด "ก.เอ๋ย ก.ไก่ เรียนรู้อดีต มุ่งสู่อนาคต" เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาการศึกษา นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯบอกว่า แนวคิดนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการจัดงานในสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังอ่อนไหว รัฐบาลกำลังจะปฏิรูปประเทศ การที่ประเทศไทยจะเริ่มนับหนึ่งใหม่ก็เปรียบเหมือนการเริ่มเรียน ก.เอ๋ย ก.ไก่ และยังมีการจัดนิทรรศการ "ระลึกชาติในแบบเรียน" นำเสนอวิวัฒนาการของแบบเรียนไทยในอดีตถึงปัจจุบัน ที่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาตลอด
"ก่อนจะเริ่มนับหนึ่งไปข้างหน้าเพื่อก่อความหวัง จะต้องแลไปข้างหลังเพื่อแก้ความผิดเสียก่อน กระทรวงศึกษาธิการควรส่งเจ้าหน้าที่มาดูงานนี้เยอะ ๆ เพราะในนิทรรศการระลึกชาติในแบบเรียน จะเน้นย้ำให้เห็นการสร้างแบบเรียนในอดีตที่ผ่านมาว่าประสบความสำเร็จและล้มเหลวอย่างไร ผลของการสร้างแบบเรียนตอบโจทย์การเมืองในอดีตสามารถสร้างผลกระทบระยะยาวของประเทศได้อย่างไร นอกจากมาดูเพื่อรำลึกความหลังกับแบบเรียนในวัยเด็กของตัวเองแล้ว จะทำให้รู้จักตัวตนของเรามากขึ้น และจะเห็นความผิดพลาดในอดีตเพื่อจะรู้ว่าเราจะเดินกันไปทางไหน" นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯกล่าว
สำหรับคนที่สนใจเรื่องราวของมาลาลา สาวน้อยหัวใจใหญ่ เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพคนล่าสุด พบกับหนังสือ"I Am Malala" ที่จะจุดไฟแห่งทางความคิดและปลุกพลังความอยากเรียนรู้ในตัวคุณ หรือถ้าอยาก "อ่าน" แบบเรียนไทยอย่างถ่องแท้ใน "ชาตินิยมในแบบเรียนไทย" เดินไปสัมผัสครอบครองได้ที่บูทสำนักพิมพ์มติชน โซนพลาซ่า
นอกจากนั้น ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งนี้ มีนิทรรศการ กิจกรรมเสวนา และหนังสือน่าสนใจมากมายจาก 435 สำนักพิมพ์ ที่รอคอยจะติดอาวุธทางปัญญาให้คนฟัง-คนอ่าน ...ไปอ่านกันเถอะ ถ้าอยากรู้ว่าการอ่าน-การศึกษาเปลี่ยนโลกได้จริงหรือเปล่า
รุ่งนภา พมมะศรี

น้ำผึ้ง ความหวานที่มีคุณประโยชน์มากมาย

เป็นสารให้ความหวาน ชนิดแรกที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารตั้งแต่ยุคโบราณ เช่น ชาวกรีกจะดื่มน้ำผึ้งก่อนลงแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เพราะเชื่อว่าน้ำผึ้งช่วยขจัดความเมื่อยล้าได้ หรือ แพทย์ชาวอียิปต์โบราณใช้น้ำผึ้งช่วยสมานแผลในการผ่าตัดเพื่อฆ่าเชื้อโรค และในปัจจุบันมีการศึกษาวิเคราะห์ถึงคุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง โดยพบว่า น้ำผึ้งแต่ละชนิดมีคุณภาพที่แตกต่างกัน น้ำผึ้งที่ดีจะมีลักษณะข้นหนืด มีความใส่ โปร่งแสง สะอาด ไม่มีตะกอนหรือสิ่งเจือปน ไม่มีไขผึ้ง ไม่มีฟอง ไม่มีกลิ่นบูดเปรี้ยว มีกลิ่นหอมเฉพาะของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งไปดูดน้ำหวานมา
น้ำผึ้งที่ดีที่สุด คือน้ำผึ้งที่ได้จากผึ้งหลวง และต้องเป็นน้ำผึ้ง เดือน 5 เนื่องจากเดือน 5 เป็นหน้าแล้ง เป็นช่วงที่ดอกไม้นานาชนิดกำลังบาน น้ำผึ้งที่ได้จึงเป็นน้ำผึ้งที่คุณภาพดี เพราะมีความชื้นน้อย มีความเข้มข้นมาก โดยทั่วไปน้ำผึ้งจะเก็บได้ประมาณ 1 ปีครึ่ง หากเก็บไว้นานกว่านี้ สี กลิ่น รส จะเปลี่ยนไป เช่นสีน้ำผึ้งจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม
สารอาหารในน้ำผึ้ง ประกอบด้วย
วิตามิน เกลือแร่ ความชื้นหรือน้ำ น้ำตาล กรด เอนไซม์อินเวอร์เทส เดกซ์โทรส และอินฮิบิน มีคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อโรค
บุคคลที่มีปัญหาสุขภาพต่อไปนี้ ไม่ควรดื่มน้ำผึ้ง
1. คนที่เป็นโรคเบาหวาน
2. คนที่มักมีอาการอาหารไม่ย่อย และอาเจียนบ่อยๆ
3. ไม่ควรให้เด็กอายุน้อยกว่า 1 ขวบดื่มน้ำผึ้ง เพราะในน้ำผึ้งอาจมี สปอร์ของเชื้อคลอสตริเดียมโบทูลินัม ปนเปื้อนอยู่ ซึ่งเชื้อนี้จะเจริญเติบโตได้ ในทางเดินอาหารของเด็กเล็ก ทำให้เกิดสารพิษที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ประโยชน์ของน้ำผึ้งในด้านการเสริมสร้างสุขภาพ และการรักษาโรค

น้ำผึ้งมีสาร "ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์" ช่วยต่อต้านแบคทีเรีย สารชนิดนี้กำจัดเชื้อโรคได้โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อ และมีสารที่ให้ความชุ่มชื้น ทำให้ผิวพรรณอ่อนนุ่ม และมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันผิวจากการทำลายของรังสียูวี ช่วยเสริมสร้างเซลล์ใหม่ให้แก่ผิวหนังด้วย 

น้ำผึ้งมีฤทธิ์ทางยา สามารถฆ่าเชื้อ แก้ท้องเดิน แก้ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา แก้โรคกลาก และฮ่องกงฟุต จากฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา แก้ตาอักเสบจากการติดเชื้อ เช่น เยื่อตาขาวอักเสบ กระจกตาดำอักเสบ ช่วยสมานบาดแผลได้ และใช้บำรุงร่างกายนักกีฬา เพราะน้ำผึ้งให้พลังงานจากสารคาร์โบไฮเดรตที่ดีแก่นักกีฬา ทั้งก่อนเล่น ขณะเล่น และหลังเล่นกีฬา

โลหิตจาง

โลหิตจาง

โลหิตจางคืออะไร
โลหิตจางหรือซีด หรือที่หลายๆ คนเรียกว่า เลือดน้อย คือ การที่มีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ทางการแพทย์จะหมายถึงการที่ระดับค่าฮีโมโกลบินในเลือดต่ำกว่า 13 กรัม / เดซิลิตรในผู้ชายหรือ 12 กรัม / เดซิลิตรในผู้หญิง ถ้าคิดเป็นค่าฮีมาโตคริตคือความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงต่ำกว่า 39 และ 36 เปอร์เซ็นต์ในผู้ชายและผู้หญิงตามลำดับ
สาเหตุของโลหิตจาง
โลหิตจางเป็นแค่ผลที่เกิดขึ้น ทุกคนต้องมีสาเหตุ ที่พบบ่อยได้แก่
•  ซีดจากการสูญเสียเลือด
- บางครั้งมีเลือดออกจากทางเดินอาหารซึ่งจะเห็นเป็นถ่ายอุจจาระมีเลือดปนหรือ ถ่ายดำแต่ถ้าออกครั้งละน้อยๆ แต่ออกบ่อยอาจไม่เห็นว่าถ่ายอุจจาระมีเลือดปนหรือถ่ายดำ แต่จะมีโลหิตจางได้ โรคที่ทำให้ถ่ายมีเลือดปนที่พบบ่อยได้แก่ โรคกระเพาะอาหาร โรคริดสีดวงทวาร โรคหลอดเลือดโป่งพอง โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น สาเหตุที่พบบ่อยอีกอย่างคือ การรับประทานยาแก้ปวดแก้เมื่อยเป็นประจำแล้วยาระคายกระเพาะอาหารทำให้อักเสบ มีแผล เกิดเลือดออกได้
- เสียเลือดจากมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ถ้าถึงวัยหมดประจำเดือนแล้วมีเลือดออกทางช่องคลอด ต้องรีบไปตรวจทันทีเนื่องจากอาจเกิดจากโรคมะเร็งได้
•  ซีดจากการขาดสารอาหาร ผู้สูงอายุบางรายอาจรับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ซึ่งอาจจากการที่เบื่ออาหาร มีโรคประจำตัวบางอย่าง เลือกรับประทานอาหาร หรือปัญหารายได้ไม่เพียงพอ อาจทำให้โลหิตจางได้
•  ซีดจากโรคเรื้อรัง เช่น ไตวาย โรคตับ ข้ออักเสบ เป็นต้น ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดได้น้อยกว่าปกติ
•  โรคอื่นๆ เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคไขกระดูกเสื่อม เป็นต้น
อาการของโลหิตจาง
อาจถูกคนอื่นทักว่าเหลือง ซีด มีอาการอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น เบื่ออาหาร เหนื่อยง่าย มึนงงศีรษะ หน้ามืด บางคนที่โลหิตจางมากอาจเป็นลม หมดสติ หกล้ม หัวใจทำงานหนักจนวายได้
การป้องกันและรักษา
•  ไม่รับประทานยาชุด แก้ปวดเมื่อย แก้อักเสบ ยาหม้อ ยาลูกกลอนเอง เนื่องจากมักมียาที่ระคายกระเพาะอาหาร ทำให้มีอาการปวดเสียดท้อง ท้องอืด เลือดออกในกระเพาะอาหารหรือกระเพาะอาหารทะลุได้
•  รับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีนและอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ ไข่ ตับ ไต เนื้อสัตว์ เมล็ดธัญพืช เช่น ถั่ว งา เมล็ดฟักทอง ลูกเดือย เป็นต้น
•  หากมีอาการปวดเสียดแน่นท้อง ขับถ่ายอุจจาระผิดปกติไปจากเดิม ถ่ายดำหรือมีเลือดปน เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาออกเรื้อรัง จ้ำเลือดออกตามตัว ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษา
•  ถ้ามีอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคโลหิตจาง ควรไปตรวจยืนยันและแพทย์ต้องตรวจหาสาเหตุเสมอว่าทำไมถึงโลหิตจาง หลังจากนั้นจึงรักษาสาเหตุ แพทย์อาจให้ยาบำรุงเลือดมารับประทาน รับประทานแล้วอาจมีถ่ายอุจจาระดำได้จากสีของยา


6 วิธีทำให้รักของคุณสดใส

เมื่อเกิดทะเลาะกับคู่รัก และอยากให้ความรักกลับมาเป็นเหมือนเดิม
- อย่าแสดงท่าทีเมินเฉยเย็นชา เพราะทำให้โอกาสที่จะทำความเข้าใจกันต้องห่างเหินกันไปทั้งคู่ เพราะไม่ได้ช่วยให้เขาหรือเธอเข้าใจอะไรขึ้นมาได้จากการเมินเฉย ถ้าคุณยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้า ก็เขียนโน้ตสั้น ๆ ส่งถึงเขาหรือเธอว่า “คุณเป็นห่วงและอยากจะคุยด้วย”
- พักรบก่อนนอน ทั้งคู่จะต้องตกลงกันก่อนว่า เมื่อใดก็ตามที่ทั้งคู่มีข้อโต้เถียงกันก่อนเข้านอนจะต้องหยุดข้อโต้เถียง นั้นเอาไว้ ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกแย่ไปทั้งคืน และบอกกับเขาหรือเธอว่าพรุ่งนี้เราจะคุยเรื่องนี้กันต่อ พอตอนเช้าคุณตื่นขึ้นมาคุณก็แทบจะลืมเรื่องโต้เถียงเมื่อคืนกันไปแล้ว แต่ถ้าเรื่องโต้เถียงจากเมื่อคืนอาจจะยังไม่จบ วิธีการที่จะทำให้บรรยากาศตอนเช้าไม่รุนแรงด้วยการชงกาแฟหรือโอวัลตินสัก ถ้วยไว้ที่โต๊ะ กลิ่นกาแฟหรือโอวัลตินที่หอมกรุ่นจะทำให้เขาหรือเธอได้เห็นว่าคุณเป็นฝ่าย ง้อแล้ว
- เอ่ยปากขอโทษ ไม่ใช่เรื่องของศักดิ์ศรี แต่เป็นเรื่องของการครองรักให้ยืนยาว เมื่อคุณเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอโทษก่อน รู้ไหมว่าผู้ฟังจะรู้สึกว่าตัวเขาเองก็มีส่วนทำให้เกิดการโต้เถียงด้วยจะทำ ให้เขาหรือเธอเลิกตั้งแง่กับคุณและเปิดใจกว้างรับฟังสิ่งที่คุณจะพูด วิธีนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายขอโทษคุณโดยไม่เสียหน้า
- ยอมรับคำขอโทษ คุณอาจจะบอกว่าได้ยินจนชินเสียแล้ว แต่เวลาคุณได้ยินคุณจะรู้สึกดีมิใช่หรือ เพราะเขาหรือเธอก็พร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขตนเอง เพื่อให้ต้นรักที่สองคนปลูกขึ้นมาเจริญเติบโตแผ่กิ่งก้าน
- ช่วงเวลาที่มีความหมาย คำขอโทษช่วยคุณได้ แต่คุณควรทำอะไรสักอย่างที่แสดงออกถึงความรักด้วยการใช้เวลาออกไปเดินเล่น หรือทานอาหารเย็นนอกบ้าน ช่วงเวลาอย่างนี้จะทำให้ทั้งคู่ได้มองเห็นความรักที่ทั้งสองต้องช่วยกันหล่อ หลอมจนมีวันนี้ วันที่มีสองคนใช้ชีวิตร่วมกัน สุขทุกข์ด้วยกัน

วิธีดื่มน้ำรักษาโรค จากหนังสือพิมพ์จีน

วารสารทางการแพทย์ บอกว่าเมื่อตื่นนอนตอนเช้า ความเข้มของโลหิตยังสูงและมีผลต่อระบบ ความดันโลหิตในร่างกาย แพทย์แนะนำว่าทันทีที่ตื่นนอนให้ดื่มน้ำทันทีหนึ่งแก้ว เพื่อลดความเข้มของโลหิต พวกเราลองดูละกัน อีกอย่างที่พบมาก็คือ ท่านพุทธทาสก็ทำแบบนี้เหมือนกัน
เมื่อเร็วๆ นี้ มีคนมากมายส่งเสริมวิธีดื่มน้ำ เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพสมบูรณ์ นี่เป็นแบบนิยมอันดีงามอย่างหนึ่ง ชีวิตที่ดำรงอยู่ได้นอกจากอากาศที่บริสุทธิ์ก็คือน้ำ 
น้ำหนักตัวของคนเรา 2 ใน 3 ส่วนเป็นน้ำจึงมีคนว่าคนประกอบด้วยน้ำ  อันที่จริงน้ำสามารถปรับอุณหภูมิในร่างกายของคนได้ สามารถทำให้ไตทำงานเป็นปกติขับถ่ายสิ่งโสโครกให้ออกจากร่างกายได้
นายแพทย์แนะนำบ่อยๆ ว่าดื่มน้ำให้มากทุกๆ วัน วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ตามที่ได้ทดสอบมาแล้วได้ผลดี ตื่นเช้าลุกขึ้น ไม่ล้างหน้า ไม่บ้วนปาก แล้วดื่มน้ำสุก 5 แก้ว (ขวดวิสกี้บรรจุได้ 3 แก้ว) หรือน้ำหนักของน้ำ 1.26 ก.ก.เท่ากับ 5 แก้วรวดเดียว จะรู้สึกหายใจเหนื่อยอึดอัดไปหน่อย หลังจากนั้นจะปัสสาวะบ่อยๆ การปฏิบัติยากลำบากเช่นนี้ หากผู้ที่ไม่มีความเชื่อมั่นอาจจะเลิกเสียกลางคัน ผู้ที่ใช้สมองทั้งวันทั้งคืนในธุรกิจการค้า หาเวลาว่างไปออกกำลังมิได้ทุกเช้าควรปฏิบัติดื่มน้ำรักษาโรคแทนการออกกำลังกาย เชื่อมั่นได้ว่าจะต้องปราศจากโรค ชีวิตยั่งยืนอย่างไม่ต้องสงสัย
ในระยะนี้มีผู้ใจบุญพิมพ์คำอธิบายวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ส่งไปให้เพื่อนฝูง เพื่อนที่ได้รับรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งการที่ช่วยซึ่งกันและกันแบบนี้ ควรจะเผยแพร่ให้มากขึ้น ผู้เขียนยินดีให้ "วิธีดื่มน้ำรักษาโรคของจีนนี้เปิดเผยให้ผู้อ่านได้มีโอกาสค้นคว้าและทดลอง" ได้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่ความเป็นจริงได้ผลอย่างนี้แน่นอนเนื่องจากทำให้ลำไส้ให¬ญ่ผลิตโลหิตใหม่มากขึ้น ซึ่งโลหิตใหม่นี้ผลิตขึ้นจากฝอยคล้ายสักหลาดที่อยู่ในลำไส้ให¬ญ่ซึ่งทำหน้าที่ดูดธาตุอาหารต่างๆ ผลิตให้เป็นเม็ดโลหิต เนื่องจากลำไส้เคลื่อนไหวไม่เต็มที่ เป็นเหตุให้โลหิตจางมีอาการรู้สึกเพลียและเป็นโรค เป็นการรักษายาก ลำไส้ของใหญ่¬่ยาว 8 เมตร ทำหน้าที่ดูดธาตุต่างๆ จากอาหาร ถ้าลำไส้สะอาดอาหารที่ได้รับประทานเข้าไปผ่านการย่อยแล้วดูดไปผลิตให้เป็นโลหิตใหม่เป็นการเร่งให้เกิดพลังงานในร่างกายให้สมบูรณ์ขึ้น โรคต่างๆ จะหายไปเองอายุก็ยั่งยืน มหาวิทยาลัยตามมณฑลต่างๆ ในประเทศจีนได้ผ่านการทดลองและประกาศเปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกัน 
วิธีดื่มน้ำรักษาโรคสามารถรักษาโรคดังต่อไปนี้ คือ ท้องผูก ปวดหัว เวียนศีรษะ โลหิตจาง โรคประสาท ความดันโลหิตสูง อัมพาตทั้งกาย เป็นลม ปากเบี้ยว โรคปวดตามข้อ โรคอ้วนพี ปวดในกระดูกเส้นเอ็น ปวดเมื่อย หูอื้อ ใจเต้น มือเท้าอ่อนเพลีย โรคไอ โรคหืด หอบ หลอดลมอักเสบ วัณโรค เยื่อสมองอักเสบ โรคตับ โรคไต เป็นนิ่ว กรดเปรี้ยวในกระเพาะอาหารมากเกินไป กระเพาะอืด กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรัง โรคบิด โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน สายตาอ่อน โรคตาต่างๆ ตาออกเลือด สตรีประจำเดือนไม่ปกติ ระดูขาว มะเร็งในมดลูก มะเร็งเต้านม จมูกอักเสบ เจ็บคอ และโรคผิวหนังต่างๆ 
ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของผู้ที่ได้ผ่านการทดลองดื่มมาแล้ว1. ผู้เขียนได้พบกับผู้ชราที่มีสุขภาพอย่างสมบูรณ์ ได้ทักทายกับท่าน ถามท่านว่าเคยเจ็บไข้หรือเปล่า ท่านตอบว่าหลายสิบปีมาแล้วไม่เคยเจ็บไข้มาเลย ท่านกล่าวว่าตอนที่อายุ 20ปี กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรังนอนอยู่กับที่นานถึง 10 ปี ได้ผ่านการตรวจจากนายแพทย์ 5 ท่าน รักษาฉีดยา รับประทานยา ไม่ได้ผล ต่อมามีนายแพทย์ท่านหนึ่งได้แนะนำว่าคุณควรทดลองดื่มน้ำสุกอย่างนี้ ตื่นแต่เช้าหน้าไม่ล้าง ปากไม่บ้วน ดื่มน้ำสุก 5 แก้วทุกๆ วัน อย่าให้ขาดตอน และห้ามไม่ให้รับประทานอาหารก่อนเข้านอน นายแพทย์สั่งเสร็จก็กลับไปโดยไม่ให้ยาไปกิน วันรุ่งขึ้นผมก็ทำตามนายแพทย์สั่ง ดื่มน้ำ 5 แก้วรวดเดียว ในหนึ่งชั่วโมงปัสสาวะ 3 ครั้ง หลังจากนั้นก็รับประทานข้าวต้ม รู้สึกรสชาติของข้าวต้มอร่อยกว่าที่แล้วๆ มาวันที่สองดื่มน้ำ 5 แก้วอีกถ่ายอุจจาระออกมามีเลือดดำปนอยู่มากต่อจากนั้นสามเดือนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีก 10 ก.ก. เวลานี้ผมอายุ 64 ปีแล้ว นับแต่ได้ปฏิบัติดื่มน้ำมายังไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย แม้แต่หวัดก็ไม่เคยเป็น
2 เมื่อผมยังเป็นเด็กเคยเป็นเยื่อสมองอักเสบ นายแพทย์สั่งให้ดื่มน้ำ 5 แก้วทุกวัน ไม่นานเยื่อสมองที่อักเสบก็หายไปเอง ภรรยาผมเมื่อ 10 ปีก่อนเป็นโรคหัวใจและเป็นโรคอ้วนเกินไป ร่างกายสูงไม่เกิน 5 ฟุต น้ำหนักตัว 120 ก.ก. พอดื่มน้ำได้ 15 วัน โรคหัวใจ  โรคประสาท โรคเข็ดเมื่อยก็ค่อยๆ ดีขึ้น ดื่มน้ำได้สองเดือนน้ำหนักตัวลดลงไป 16 ก.ก. เมื่อก่อนเราต้องใช้ยาประจำ นวดไฟฟ้า และรักษาด้วยวิธีเข็มแทงแบบหมอจีนก็ไม่หาย แต่เวลานี้หายไปหมดแล้วจากการดื่มน้ำ
3. อาจารย์ในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเคยแถลงการณ์ร่วมสองครั้ง เกี่ยวกับฝอยคล้ายสักหลาดในลำไส้ผลิตโลหิตขึ้น จนเดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีใครโต้แย้งเลย ไม่ว่าโลหิตจะมาจากไหน แต่ธาตุต่างๆ จะต้องมาจากอาหารอย่างแน่นอน เมื่ออาหารลงไปถึงกระเพาะแล้วผ่านการย่อยลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ธาตุส่วนมากกลายเป็นของเหลว เมื่อลำไส้ยาว 8 เมตร ดูดธาตุต่างๆ เสร็จก็จะส่งไปสู่ลำไส้ออกของที่ทวารหนักซึ่งเป็นของที่ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกาย 
4. กระเพาะเป็นแผลเน่า ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล โรคความดันโลหิตสูง ดื่มน้ำ 1 เดือนเริ่มเห็นผล กระเพาะบิด 3 เดือนเริ่มเห็นผล ท้องผูก 3 วันก็เห็นผล ท้องเป็นบิดกับปัสสาวะกลางคืนบ่อยๆ ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล เข็ดเมื่อยตามข้อ 3 เดือนเห็นผล ผู้สูงอายุเข็ดเมื่อยทั้งร่างกาย ดื่มน้ำ 2 เดือน เห็นผล โดยเฉพาะผู้ที่โลหิตคั่งอยู่ในสมอง เกิดเป็นลมขึ้นเป็นมายังไม่เกิน 3 เดือน ดื่มน้ำเพียงสัปดาห์เดียวก็หายเหมือนเดิม รับรองไม่พิการหรือเป็นอัมพาต
   
ผู้ที่ดื่มน้ำควรทราบ ดื่มน้ำสุกดีที่สุด หากดื่มน้ำประปา ควรจะใส่ขวดไว้แรมคืนให้ตกตะกอนเสียก่อนเพื่อป้องกันท้องร่วง เวลารับประทานอาหารดื่มน้ำได้ตามปกติ แต่หลังอาหารสองชั่วโมงไม่ควรดื่มอีก ก่อนเข้านอนไม่ควรรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามรับประทานน้ำส้มคั้น และจำพวกแอปเปิ้ล ผู้ที่มีโรคประจำตัวดื่มน้ำทีเดียว 5 แก้วไม่ใช่ของง่าย ดื่มน้ำเสร็จทางที่ดีใช้หรือออกกำลังสัก 20นาที คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดื่มน้ำเสร็จให้สูดอากาศเข้าปอดให้มากๆ และนวดที่บริเวณที่สะเอวให้น้ำไหลลงสู่ลำไส้ให้สะอาด ดื่มน้ำวันแรกภายใน 1 ชั่วโมง จะปัสสาวะ 3 ครั้งติดๆ กัน แต่ต่อไป 3 - 4 วัน การถ่ายท้องจะเป็นปกติภายใน 7 - 8 วัน การปัสสาวะเป็นเพียงครั้งเดียว นับแค่นั้นไปจะรู้สึกร่างกายสบาย เวลารับประทานอาหารจะรู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่ากระเพาะลำไส้ได้ถูกชำระสะอาดแล้ว ผู้ที่หมดหวังแล้วจะรอดตายด้วยวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ นี้

โรงแรมน้ำแข็งแห่งแคว้น Quebec

โรงแรมน้ำแข็งแห่งแคว้น Quebec

Ice Hotel Quebec มีพื้นที่ 3,000 ตารางเมตร ให้บริการห้องพัก 34 ห้อง และห้องสวีท (Theme suites) โดยสามารถรองรับลูกค้าได้ถึง 440 คน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น อ่างสปา ซาวน่า เเกลเลอรี่ ห้องนิทรรศการ บาร์ และไนต์คลับ นอกจากนี้ในบริเวณใกล้เคียงก็ให้บริการความบันเทิง ทางกีฬาหน้าหนาวต่างๆ ด้วย เช่น Cross-Country Skiing และSnowmobiling
ปกติแล้วโรงแรมจะให้บริการแก่คนทั่วไปตั้งแต่สิบโมงเช้าจนถึงเที่ยงคืน แต่ช่วงหลังสองทุ่มในส่วนห้องพักจะปิดเพื่อให้บริการสำหรับลูกค้าที่มาพักเท่านั้น โดยห้าปีที่ผ่านมา Ice Hotel Quebec มีผู้เข้าเยี่ยมชมประมาณ 220,000 คน ซึ่งรวมถึงจำนวนผู้เข้าพัก 10,500 คน ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่มาเพื่อจัดงานแต่งงาน งานเลี้ยงฉลองของบริษัท งานเปิดตัวสินค้า งานครบรอบในวาระต่างๆ และถ่ายทำหนัง
ทุกๆ ปีโรงแรมจะเปิดให้บริการช่วงต้นเดือนมกราคมจนกระทั่งต้นเดือนเมษายน และก็จะละลายหายไปตามแสงแดดที่ย่างเข้ามาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ทางเข้าโรงแรม โดยอุณหภูมิภายในโรงแรมปกติจะประมาณ -2 ถึง -5 องศาเซลเซียส
บริเวณห้องโถงและทางเดินภายในโรงแรม
ทางเข้าไนต์คลับที่ใช้ชื่อว่า N’Ice Club
ภายใน N’Ice Club มีเคาน์เตอร์ให้บริการเครื่องดื่มต่างๆ ทั้งร้อน เย็น มีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ และที่นั่งที่ทำจากน้ำแข็งซึ่งสามารถนั่งได้สบาย โดยไม่ต้องกลัวหนาวเนื่องจากมีผ้าขนสัตว์ที่ทำมาจากขนกวางวางคลุมบนที่นั่ง
เมนูเครื่องดื่มที่เก๋ไก๋อยู่ในน้ำแข็ง
แก้วน้ำแข็งคริสตัล (Crystal Ice Glass) ถ้าถูกใจอยากได้กลับบ้านก็สนนราคาแก้วละ CAD$ 59.95 (ประมาณ 1,900 บาท)
credit : Positioning Magazine พฤษภาคม 2549 โดยจิตติมา เมฆารสธรรมกุล
ห้องสำหรับทำพิธีแต่งงาน
ABSOLUT Bar บาร์ของโรงแรมที่มีประตูทางเข้าออกเป็นรูปทรงขวด
ภายใน ABSOLUT Bar บาร์ของโรงแรม
บริเวณ Arctic Spas ที่ให้บริการอ่างสปาแก่ลูกค้าที่มาพัก
ห้องพักบริการแบบทั่วไป ซึ่งมีราคาห้องต่อคืนเริ่มต้นที่ประมาณ CAD$ 595 (ประมาณ 19,000 บาท)
ห้องสวีท (Theme suites) ในแบบต่างๆ ซึ่งมีราคาห้องต่อคืนเริ่มต้นที่ประมาณ CAD$ 695 (ประมาณ 22,000 บาท) เช่น ห้องสไตล์จีนที่จะมีการแกะสลักรูปกำแพงเมืองจีนรอบห้องและเตียงรูปมังกร และห้องสไตล์อียิปต์ที่เตียงเป็นรูปพีระมิด
สนใจจะไปพักโรงแรมน้ำแข็งแห่งแคว้น Quebec ที่ว่านี้ ต้องไม่ลืมว่า ทุกๆ ปีโรงแรมจะเปิดให้บริการช่วงต้นเดือนมกราคมจนกระทั่งต้นเดือนเมษายนเท่านั้น หลังจากนี้แล้วคุณจะหาโรงแรมที่ว่านี้ไม่เจอ เพราะมันจะละลายหายไปตามแสงแดดที่ย่างเข้ามาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

การทานตับไก่มากเกินไปอาจทำให้เป็นโรคไมเกรนได้

การทานตับไก่มากเกินไปอาจทำให้เป็นโรคไมเกรนได้ 
ตับไก่ เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหาร แต่ตับไก่ก็ไม่เหมาะสำหรับบางคนเหมือนกัน เพราะ ตับไก่ มีสารที่เรียกว่า อะมิโน-พาราเอ็ธฟีนอล (Amino-paraethenol) สารชนิดนี้มีฤทธิ์ต่อ หลอดเลือดแดงในสมองทำให้แข็งตัว ถ้ากินตับไก่มากเกินไป ก็อาจจะทำให้มีอาการของ โรคไมเกรน มีอาการปวดหัวข้างเดียวเป็นเวลานาน จนกระทั่งอาจเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือตาบอดข้างเดียวตามมาได้

10 วิธีให้อาหารสมอง

โรคภัยไข้เจ็บไม่เข้าใครออกใคร บางคนว่าเป็นเรื่องของวิบากกรรม กรรมเก่า กรรมที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ หรือโรคทางพันธุกรรม
ในหนังสือข้างครัว ของพิชัย วาสนาส่ง บอกเล่า 10 วิธีของการให้อาหารตามที่สมองต้องการ ดังนี้

1.กินผลไม้และผักเป็นหลักในอาหารแต่ละมื้อกระนั้นเราสามารถบรรเทากรรมนั้นได้ด้วยการใส่ใจดูแลตนเอง แม้แต่การดูแลสมอง
2.กินไก่โดยไม่กินหนัง กินเนื้อหมูและเนื้อวัวที่มีไขมันน้อยที่สุดเสมอ
3.กินถั่วตากแห้ง ผักตระกูลถั่วทุกชนิด รวมทั้งถั่วลิสง (ไม่เติมเกลือได้จะดีที่สุด)
4.กินถั่วเปลือกแข็ง โดยเฉพาะพวกวอลนัทและถั่วอัลมอนด์
5.กินปลาเนื้อมัน (แซลมอน ซาร์ดีน แม็กเคอเรล) และหอยต่างๆ
6.ระวังการบริโภคไขมันที่มีโอเมก้า 6 โดยเฉพาะน้ำมันข้าวโพด น้ำมันพืชที่แต่งเติมด้วยสารไฮโดรเจน และบรรดากรดที่อุดมด้วยไขมันต่างๆ
7.ใช้น้ำตาลและเกลือแต่น้อย
8.ลดการบริโภคอาหารสำเร็จรูป ประเภทกรุบกรอบ
9.กินวิตามิน-แร่ธาตุเป็นส่วนเสริม เนื่องจากอาหารทุกวันนี้ไม่มีแร่ธาตุและวิตามินมากเท่าอาหารในสมัยก่อน
10.กินน้ำมันปลาที่มีโอเมก้า 3 ในแคปซูล กรณีที่มิได้บริโภคปลาสัปดาห์ละ 3-4 มื้อ
ที่สำคัญคือต้องออกกำลังกายด้วย สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เพราะเมื่อเลือดลมดี สุขภาพก็ดีเช่นกัน

อาหาร 11 อย่าง ที่ทำให้คุณ "หิวโหย" มากกว่าเดิม!?

 11 อย่าง ที่ทำให้ท้องของคุณต้องการอาหารมากขึ้น และหากว่าคุณรับประทานมันเพราะต้องการบรรเทาความหิว แน่นอนว่ามันจะทำให้คุณหิวมากกว่าเดิม


คุณเคยรู้สึกหิวมากๆ ไหม? และถ้าคุณหิวคุณก็ต้องหาอะไรรับประทานใช่ไหม? แต่คุณรู้หรือไม่ว่า มีอาหารบางประเภทที่หากคุณรับประทานมันเข้าไปเวลาหิว มันจะทำให้คุณหิวมากกว่าเดิมซะอีก และนี่คือ อาหาร 11 อย่าง ที่จะทำให้คุณหิวมากขึ้น มากขึ้นและมากขึ้น
1.ไวท์เบรด (ขนมปัง)
จากการศึกษาของสเปน พบว่า นิสัยการกินของจำนวนคนมากกว่า 9,000 คน มีลักษณะนิสัยชอบรับประทารไวท์เบรด ซึ่งในแต่ละวันคนเหล่านี้จะรับประทานไวท์เบรดมากถึง 40% ซึ่งแน่นอนว่าจากการรับประทานไวท์เบรดนี้ทำให้รู้สึกอยากอาหารมากขึ้น และเมื่ออยากอาหารมากขึ้นก็ทำให้มีการรับประทานเพิ่มขึ้น จนส่งผลให้กลุ่มคนเหล่านี้มีน้ำหนักตัวที่มากขึ้นตามไปด้วย
2.น้ำผลไม้
น้ำผลไม้ที่คุณชื่นชอบ คุณรู้ไหมว่ามันมีปริมาณน้ำตาลมากเท่าไหร่? ซึ่งจากการศึกษาพบว่า น้ำผลไม้ที่คนส่วนใหญ่นิยมดื่มนั้นมีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างมาก และมันยังไปเพิ่มให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น น้ำตาลเหล่านี้ที่ปนเข้ามากับน้ำผลไม้ของคุณจะยิ่งทำให้คุณกระหายน้ำมากกว่าเดิม แต่หากคุณต้องการดื่มน้ำผลไม้โดยไม่มีน้ำตาลล่ะก็ ต้องคั้นสดๆ หรือทางที่ดีควรใส่พวกกากโปรตีน หรือ ลูกนัท เข้าไป
3.ขนมขบเคี้ยว
คุณคงจะระรู้กันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะว่าขนมขบเคี้ยวมีผลต่อความกระหายของคุณ เพราะขนมขบเคี้ยวเหล่านี้มีปริมาณเกลืออยู่เป็นจำนวนมาก หากได้รับเข้าไปก็จะทำให้คุณอยากน้ำ และหิวมากกว่าเดิม ลำคอของของคุณจะรู้สึกแห้ง และนั่นจึงจำเป็นที่คุณจะต้องหาอะไรรับประทานเข้าไปเพื่อให้ความกระหายหยุดลง
4.ฟาสท์ฟู้ด
แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนท์ฟราย หรืออะไรทั้งหลายแหล่ในประเภทฟาร์ทฟู้ดนี้ ส่วนผสมของมันช่างไม่ธรรมดา คุณค่าทางสารอาหารก็น้อยกว่าอาหารทั่วไป คุณลองสังเกตด้วยตัวคุณเองสิว่า เวลาที่คุณแวะเข้าร้านอาหารเหล่านี้ คุณเคยรับประทานมันแล้วไม่รู้สึกกระหายไหม? แน่นอนว่าส่วนใหญ่จะตอบว่าไม่ นั่นเพราะฟาร์ทฟู้ดเหล่านี้อุดมไปด้วยเกลือ คล้ายกับขนมขบเคี้ยว ดังนั้นเมื่อคุณรับประทานมันเข้าไป ตอนแรกอาจจะเหมือนอิ่ม แต่สักพักคุณจะหิวมากกว่าเดิมทันที
5.แอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์ไม่ใช่แค่ทำลายสุขภาพคุณเพียงเท่านั้น แต่มันกลับยิ่งทำให้คุณหิวโหยมากกว่าเดิม เวลาที่คุณดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป มันจะไม่ได้หยุดเพียงแค่แก้วเดียวหรอก เพราะมันจะเข้าไปกระตุ้นร่างกายต่อมความอยากของคุณให้ดื่มอีกได้อย่างต่อเนื่องจนเริ่มรู้สึกว่าร่างกายนั้นไม่ไหว และแน่นอนเมื่อคุณหยุดดื่มมัน ท้องของคุณจะรู้สึกว่างทันที ทำให้คุณต้องหาอาหารมาใส่กระเพาะเพิ่มเพราะความอยากที่พุ่งเข้ามา
6.ไวท์พาสต้า
ไวท์พาสต้า ปัญหาของมันก็คล้ายๆ กับ ไวท์เบรด คือ เมื่อรับประทานเข้าไปมันจะไปเพิ่มน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้น และนั่นมันก็จะทำให้คุณรู้สึกหิวมากกว่าเดิม
7.MSG หรือ ผงชูรส
ผงชูรส แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามันนั้นมีหน้าที่ชูรสชาดของอาหาร ใครที่ได้รับประทานอาหารที่ใส่ผงชูรสเข้าไป จะรู้สึกเอร็ดอร่อยและอยากอาหารมากขึ้น แต่แน่นอนว่า หากคุณรับประทานอาหารที่มีผงชูรสเป็นส่วนผสมบ่อยๆ หรือในปริมาณมากก็จะส่งผลร้ายต่อร่างกายของคุณในอนาคตได้
8.ซูชิ โรล
หากว่าคุณกำลังหิวล่ะก็ ซูชิโรลก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่คนนิยมรับประทานมัน เพราะมันนั้นรับประทานง่าย และแน่นอนว่ามันมีทั้งข้าวและส่วนประกอบอื่นๆ อีกมากมาย แต่คาร์โบไฮเดรตในซูชิโรลนี้มีปริมาณพอๆ กับไวท์เบรด 3 แผ่นเลยทีเดียว หากคุณรับประทานเข้าไป รับประกันเลยว่าคุณจะต้องหิวและรู้สึกลำคอแห้งทันที
9.สารให้ความหวานเทียม หรือ น้ำตาลก้อน
สารให้ความหวาน แค่ชื่อก็บอกแล้วว่ามันจะต้องมีน้ำตาลมากแค่ไหน เมื่อมีน้ำตาลมากก็ต้องทำให้หิวมากเป็นธรรมดา และยิ่งหิวมากคุณก็ต้องรับประทานให้มากขึ้น และเมื่อรับประทานมากขึ้น น้ำหนักคุณก็จะมากตาม
10.ซีเรียลสำหรับเด็ก
ซีเรียลเหล่านี้มีแป้งสาลีเป็นส่วนประกอบสำคัญ ในทุกๆ เช้าที่คุณรับประทานมันเข้าไป มันก็จะเข้าไปเพิ่มปริมาณน้ำตาลในเลือดของคุณ ดังนั้น หากจะรับประทานซีเรียลควรเลือกซีเรียลที่มีไฟเบอร์ 5 กรัม และต้องมีน้ำตาลน้อยกว่า 5 กรัม
11.พิซซา
ทั้งแป้ง ทั้งชีส มันรวมตัวกันอยู่ที่ พิซซา นี่แหล่ะ ถึงตอนแรกที่คุณรับประทานมันเข้าไป คุณจะรู้สึกว่าอิ่มแล้วก็ตาม แน่นอนว่ามันไม่ได้อิ่มอย่างที่คุณคิด เพราะหลังจากนั้นไม่นานคุณจะรู้สึกว่าท้องคุณยังต้องการอาหารอยู่ และนั่นจะทำให้คุณอยากอาหารมากกว่าเดิมในชั่วโมงต่อมา

ข้อมูลจาก Time

ผู้สื่อข่าว : ทีมข่าวสปริงนิวส์

พ.ย.นี้ ปิดตำนาน "นารูโตะ" จบศึกนินจาจอมคาถา

นิตยสารการ์ตูนวัยรุ่นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นออกมาประกาศว่า พ.ย.นี้ "" จะตีพิมพ์มาถึงตอนจบแล้ว

เว็บไซต์ของนิตยสาร Weekly Shonen Jump ได้ออกมาประกาศว่าการ์ตูนเรื่อง "นารูโตะ" (นินจาจอมคาถา) ของอาจารย์คิชิโมโตะ มาซาชิ ฉบับมังงะจะจบลงในอวสานลงในนิตยสารฉบับครบรอบ 50 ปี ที่จะวางจำหน่ายในวันที่ 10 พ.ย. 57
โดยเมื่อ 2 ปีก่อน อาจารย์มาซาชิ ผู้เขียนนารูโตะ ได้ให้ข่าวว่าผลงานสุดฮิตของเขากำลังจะดำเนินเรื่องมาถึงไคลแม็กซ์แล้ว และเขาเองก็คิดตอนจบเอาไว้ในใจแล้วด้วย ซึ่งการ์ตูนของเขาน่าจะจบลงภายในปีครึ่งหลังจากนี้ จนล่าสุดสำนักพิมพ์จึงได้ยืนยันอย่างเป็นทางการว่า "นารูโตะ" กำลังจะจบลงจริงๆ
"นารูโตะ" เป็นการ์ตูนแนวแอ็คชั่นที่มีฉากหลังอยู่ในโลกนินจา เริ่มตีพิมพ์ใน Weekly Shonen Jump ของ Shueisha เมื่อปี 1999 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 15 ปี ทำยอดขายเฉพาะในญี่ปุ่นไปแล้ว 130 ล้านเล่ม โดยฉบับรวมเล่มของทางญี่ปุ่นเล่มที่ 71 ก็กำลังจะออกจำหน่ายในวันที่ 4 พ.ย. 57
นอกจากนี้ "นารูโตะ" ยังได้ถูกดัดแปลงเป็นการ์ตูนอนิเมชั่นและวิดีโอเกมมากมาย และยังได้รับการต่อยอดผลิตเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นด้วย ซึ่งภาพยนตร์นารูโตะตอนล่าสุดที่มีชื่อว่า The Last (Naruto the Movie) มีกำหนดจะเข้าฉายที่ญี่ปุ่นในวันที่ 6 ธ.ค. 57


ผู้สื่อข่าว : ทีมข่าวสปริงนิวส์

งานวิจัยเผย "เช็ดตัว" ด้วย "มะนาวผสมน้ำอุ่น" ช่วยลดไข้ได้!

งานวิจัยเผย "เช็ดตัว" ด้วย "มะนาวผสมน้ำอุ่น" ช่วยลดไข้ได้!

วิธีการใช้คือ นำมะนาวมากดลงในน้ำอุ่น แล้วผ่าครึ่งซีกก่อนบีบน้ำมะนาวออกมา จากนั้นนำไปเช็ดตัวเพื่อลดไข้ ซึ่งมะนาวยังเป็นสิ่งที่หาง่ายในครัวเรือนไทยอีกด้วย
 พยาบาลชำนาญการ โรงพยาบาลนครพิงค์ จ.เชียงใหม่ กล่าวในการนำเสนองานวิจัยเรื่อง ประสิทธิผลของการใช้น้ำอุ่นผสมมะนาวในการเช็ดตัวลดไข้ในผู้ป่วย ภายในการประชุมวิชาการประจำปี กระทรวงสาธารณสุข ว่า ในปีงบประมาณ 2556 หอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลนครพิงค์ รับผู้ป่วยเด็กเข้ารับการรักษา 782 ราย ในจำนวนนี้มี 2 ราย ที่เกิดอาการชักเนื่องจากไข้สูง พบว่าปัญหาอย่างหนึ่งคือ
ผู้ดูแลผู้ปกครองไม่ให้ความร่วมมือในการเช็ดตัว โดยให้เหตุผลว่าการเช็ดตัวใช้เวลานาน และไข้กลับสูงซ้ำหลังเช็ดตัวไม่นาน จึงได้ทำการทดสอบเพื่อหาวิธีการเช็ดตัว ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในลดไข้ในผู้ป่วยเด็ก ซึ่งได้เลือกใช้ "มะนาว" ที่มีงานวิจัยในต่างประเทศว่า มีฤทธิ์ช่วยลดไข้ได้ ซึ่งฤทธิ์ทางเคมีอยู่ในน้ำมันจากเปลือกมะนาว
น.ส.ชลิดากล่าวว่า การทดลองได้ทำในผู้ป่วยเด็ก 60 ราย อายุเฉลี่ย 2 ขวบ ที่มีอุณหภูมิร่างกายมากกว่า 38.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยใน โดยแบ่งกลุ่มเด็กเป็นกลุ่มที่ใช้น้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว และใช้น้ำอุ่นตามปกติ และใช้ตารางเก็บบันทึกอุณหภูมิอย่างละเอียด
สำหรับวิธีเช็ดตัวใช้แบบผสมผสานระหว่างการเช็ดตัวพัน และห่อเป็นเวลา 15 นาที และการวัดอุณหภูมิร่างกายซ้ำหลังเช็ดตัวลดไข้ 15 นาที และนำข้อมูลการเก็บสถิติมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย จากผลการวิเคราะห์พบว่า กลุ่มผู้ป่วยเด็กที่เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นผสมมะนาวมีอุณหภูมิร่างกายลดลง มากกว่ากลุ่มผู้ป่วยเด็กที่เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นตามปกติ
ซึ่งค่าดังกล่าวถือว่ามีนัยยะสำคัญทางสถิติ ดังนั้น จึงสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดไข้ได้

ใส่แหวนนิ้วไหน บอกนิสัยได้

ใส่แหวนนิ้วไหน บอกนิสัยได้

นิ้วก้อย
มักจะตกอยู่ในโลกของความฝันมากกว่าโลกของความเป็นจริงมีนิสัยน่ารัก แต่เก็บกด มักไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาให้คนอื่นได้รู้ได้เห็น ในเรื่องของความรัก มักจะคล้อยตามอารมณ์ ความรู้สึกร่วมไปด้วยเสมอกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น อาจจะร้องไห้เมื่อเพื่อนสนิทอกหัก หรืออาจจะกรี๊ดกร๊าดเมื่อเพื่อนมีความสุขเมื่อพบกับหนุ่มหล่อเท่ห์ เป็นคนที่จิตใจเยือกเย็น พอใจในคนรักของตัวเองไม่จุกจิกจนน่ารำคาญใจ ผู้ใดใกล้ชิดหรืออยู่ด้วยก็สบายใจ เวลาที่ชายหนุ่มได้คุยกับคุณสักพักเขาจะรู้สึกสบายใจและสนุกสาน คุณมีคุณสมบัติของลูกผู้หญิงเต็มตัวลักษณะเด่น คือ สามารถทำให้ผู้ชายรู้สึกตัวว่าอยู่ด้วยแล้วมีความสุข เป็นคนที่จริงใจกับความรักเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยลืมวันสำคัญ ๆ เลย ลึก ๆ แล้วเป็นคนที่โรแมนติก

 นิ้วนาง
เป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง หนุ่มใดที่มาใกล้ชิดเอาอกเอาใจ แต่ไม่ได้แสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมา คุณจะเกลียดมาก จนไม่อยากจะเจอะเจออีกเลย แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็ชอบเห็นชายหนุ่มมากหน้าหลายตามาตามจีบ หรือ ให้ความสนใจ คุณเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย แต่จะมีอยู่คนหนึ่งที่รู้นิสัยจริง ๆ คนที่ใกล้ชิดเท่านั้น ที่จะรู้ว่าภายใต้ความรู้สึกที่เข้มแข็งนั้น คือความบอบบาง คุณเป็นคนที่ชอบคุยและก็คุยได้สนุกเสียด้วยสิ การได้โต้เถียงหรือทำตัวเหมือนดื้อรั้น คือ ความสุขจริง ๆ คุณอาจจะรู้สึกเหงาหรือไม่มีเพื่อน ถึงแม้จะผิดหวังอกหัก แต่ก็สามารถบอกกับใคร ๆ ได้ว่า ธรรมดา ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันไม่ได้ใส่ใจด้วย ทั้งที่ลึก ๆ แล้วปวดร้าวน่าดู แต่แค่ระยะเวลาไม่นานก็จะกลับมาเฮฮาปาร์ตี้ได้เหมือนเดิม
 นิ้วกลาง
เป็นคนที่มีจิตใจรื่นเริงแจ่มใส มีจิตนาการสูงในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ มีบทบาทมากมายในชีวิตบางทีก็ดูเงียบขรึม บางทีก็ดูร่าเริง และในบางครั้ง ก็จะทำตัวเป็นที่น่าสงสารของผู้ได้พบเห็น เป็นคนที่อ่อนโยนและเป็นผู้หญิงที่ขี้อายถ่อมตน มักจะประหม่าหรือเคอะเขินเมื่อยู่ใกล้ชายหนุ่ม นิสัยไม่มั่นใจในตัวเอง จึงกลัวไปทุกเรื่อง กลัวว่าจะสวยไม่พอ กลัวว่าหุ่นจะไม่ดี กลัวว่าจะไม่ฉลาดพอ หนุ่มใดมาจีบต้องสร้างความมั่นใจให้กับคุณโดยการพูดซ้ำบ่อย ๆ ให้รู้สึกว่าสิ่งที่มีอยู่ดีเลิศ
 นิ้วชี้
มักจะชอบทำอะไรแปลก ๆ ที่คนทั่วไปเขาไม่ทำกัน มีเสน่ห์บางอย่างในตัวที่ดึงดูดใจผู้ที่มาใกล้ชิดมีแบบฉบับการแต่งตัวเป็น ของตัวเองมีความเชื่อมั่นว่าตัวจะดูดีในชุดที่เลือกใส่เอง ไม่จำเป็นที่จะต้องไปวิ่งตามแฟชั่นให้มันเมื่อยตุ้ม รักความหรูหราแบบแปลก ๆ ไม่เหมือนใคร ยิ่งเป็นเครื่องประดับที่แปลก ๆ หายากหรือไม่เหมือนชาวบ้านด้วยแล้วเป็นอะไรที่โปรดปรานมากเลย ความเฉลียวฉลาด ความสง่างามนั้นนับว่าเป็นสาวไฮโซทรงเสน่ห์ที่มีแรงดึงดูดเพศตรงข้ามได้มาก มาย มีรสนิยมสูง หนุ่มคนใดหวังจะชวนไปทานข้าว จำไว้เลยว่าร้านข้าวแกงข้างถนนชวนได้ครั้งเดียวเท่านั้น ต่อไปคุณไม่ไปไหนมาไหนกับหนุ่มคนนี้อีก อย่าลืมว่าคุณชอบของแปลก ๆ ในความแปลกของคุณ คือ จุดอ่อน
นิ้วโป้ง
เป็นคนแปลกไม่แคร์สังคม ไม่แคร์สายตาผู้อื่นเป็นตัวของตัวเอง และเป็นแบบฉบับชองตัวเองมากที่สุด มีความเชื่อมั่นมากและมีความภูมิใจในตัวเองอยู่เงียบ กฏของสังคมไม่สามารถมาล้อมกรอบได้ ทั้งนี้เป็นเพราะมีความอิสระซ่อนเร้นอยู่มากมาย ความหลักแหลมซื่อสัตย์ตะลุยฟันผ่าไปค้นหาในสิ่งที่อยากได้ จะไม่สนใจอะไรแบบมองผ่าน ๆ ไปที่ความสนใจที่มีต่อสิ่งที่สนใจอยู่จึงมีมาก อารมณ์รุนแรงความโกรธรุนแรงกระทั่งสิ่งของเครื่องใช้ที่อยู่ใกล้มือใกล้เท้า ก็พังหมด

ขอบคุณที่มา เดลินิวส์

ปล่อยผมช่วยคลายเครียด

ใครที่ชอบมัดผมเป็นประจำ ทราบหรือไม่ว่าอาจเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เกิดความเครียดได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกัน...
การที่ทำผมบ่อย ๆ นั้นเป็นการทำร้ายผมโดยตรง ซึ่งบางครั้งสารเคมีเหล่านี้จะสะสมในร่างกายและอาจเกิดรุมเร้าตามมาที่หลัง
แม้กระทั่งการที่มัดหรือผูกผมก็เช่นกัน ผมที่ถูกมัดจนตึง มักจะทำให้เรารู้สึกมึนหัว อึดอัด ปวดตึงบริเวณต้นคอและท้ายทอยเป็นประจำ
นี่คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความเครียดภายใต้หนังศีรษะนั่นเอง โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังทำร้ายตัวเองอยู่
ผู้หญิงที่ชอบมัดผม หรือคาดผมจนตึงแน่นเป็นประจำ เป็นเพราะชอบไว้ผมยาวแต่ไม่ชอบปล่อยผม ทำงานที่ไม่สะดวกต้องการความกระชับ
ทำงานกลางแจ้งหรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก จึงมีความจำเป็นต้องมัดผม อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่อาการปวดหัวเรื้อรัง
และทำให้เกิดโรคเครียดตามมาอย่างคาดไม่ถึง
เนื่องจากการรัดผม คาดผมจนตึงแน่นเป็นประจำ ทำให้หนังศีรษะถูกเหนี่ยวรั้งมากขึ้น นอกจากจะทำให้หน้าผากกว้างมากขึ้น
ยังทำให้เกิดปัญหาผมร่วงได้ง่าย เพราะรากผมถูกทำลายจากแรงดึงแล้ว ยังทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณศีรษะไม่สะดวก
นำไปสู่อาการปวดหัวเรื้อรังและโรคเครียดได้อย่างง่ายดาย
เพราะปกติผู้หญิงทำงานต้องแบกรับความเครียดอย่างมากอยู่แล้วในแต่ละวัน หากหันมาปล่อยผมให้สบาย ๆ บ้าง เลือดจะได้ไหล
ไปเลี้ยงสมองได้ง่ายขึ้น ช่วยลดความเครียดและอาการปวดตึง บริเวณศีรษะและท้ายทอย เนื่องจากความเครียดได้ด้วย

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากหายเครียด ก็ลองหันมาปล่อยผมกันดูได้.

จัดหนักมื้อเย็น..ก่อนจะนอน เสี่ยงหลายโรค

จัดหนักมื้อเย็น..ก่อนจะนอน เสี่ยงหลายโรค

สังคมเมือง มักจะทานน้อยในมื้อเช้า บ้างก็ไม่ทาน เพราะเร่งรีบไปทำงาน ส่วนมื้อกลางวันมักเป็นเมนูจานด่วน กินเยอะมื้อเย็น เสี่ยงโรคอ้วน กระเพาะทำงานหนักเกินจำเป็น สวนทางหลักใช้พลังงานร่างกายอย่างสิ้นเชิง ทำบ่อยเสียสุขภาพระยะยาว

จัดหนักมื้อเย็น..ก่อนจะนอน เสี่ยงหลายโรค
อาหารมื้อเย็นมักกลายเป็นปัญหาสำหรับหลายคน ที่อยากลดน้ำหนัก แต่ก็ไม่อยากอด บางครั้งรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปก็ทำให้ปวดท้องหรือท้องอืด จนนอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท ส่งผลเสียในระยะยาวต่อสุขภาพ บางคนทานในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะต่อระบบการทำงานของอวัยวะในร่างกาย ส่งผลให้บางอวัยวะทำงานหนักเกินไป เช่น ทานในช่วงดึก ซึ่งร่างกายควรพักผ่อน ทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนักเกินความจำเป็น

ใครว่าเมื้อเย็นไม่สำคัญ

เหตุผลแรก เป็นมื้อที่เติมเต็มพลังงานและสารอาหารอื่นๆ ให้ครบตามที่ร่างกายต้องการตลอดทั้งวัน ถ้ารับประทานเพียง 2 มื้อ เราแน่ใจได้อย่างไรว่ากินอาหารครบตามพลังงานที่ร่างกายต้องการ
เหตุผลที่สอง เพื่อให้พลังงาน และสารอาหารที่กินในมื้อเย็นช่วยรักษาดุลย์การเคลื่อนไหวของร่างกาย ช่วงเวลาจากเที่ยงไปจนถึงเวลาเข้านอน ร่างกายเรายังมีการเคลื่อนไหว และมีการทำงานอยู่ ถ้าไม่กินในช่วงเวลาที่เหลือเลยพลังงานก็จะพร่องไปเรื่อยๆ

หลักในการทานมื้อเย็นที่ไม่ทำให้อ้วนและเหมาะสม

  1. ปริมาณของสารอาหารมื้อเย็นควรน้อยที่สุด รองจากมื้อเช้า และมื้อกลางวัน โดยเฉลี่ยผู้ใหญ่ควรจะได้รับพลังงาน 1,800 กิโลแคลอรีต่อวันต่อคน ซึ่งรวมทั้งอาหารหลักและอาหารว่างของแต่ละมื้อ ถ้าจะฝึกวินัยให้สมสัดส่วน ซึ่ง 7.00 น.-9.00 น. เป็นเวลาที่กระเพาะอาหารแข็งแรงจึงทำงานได้ดี
  2. ควรกินมื้อเย็นก่อนเข้านอน 4 ชั่วโมง เพราะหลังจากการทานอาหาร ร่างกายจะเกิดกระบวนการย่อยอาหารซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง และหากทานโปรตีนจากสัตว์ ร่างกายก็จะใช้เวลาย่อยและดูดซึมถึง 4 ชั่วโมง ฉะนั้นการทานแล้วเข้านอนทันทีจะทำให้กระบวนการย่อยไม่สมบูรณ์เนื่องจากท่านอน รบกวนการนอนหลับ และอาจเป็นโรคกรดไหลย้อน ที่กรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปยังหลอดอาหาร ซึ่งเป็นอวัยวะที่ไม่ทนต่อกรด จนทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร เมื่อเป็นนานๆ ราว 5-10 ปี จะมีภาวะแทรกซ้อน เช่น หลอดอาหารอักเสบจนเป็นแผลฉีกขาด มีพังผืดจนตีบตันทำให้กลืนอาหารลำบาก มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งหลอดอาหาร 0.1%
  3. ควรเน้นผักกับผลไม้ ควรกินให้ได้ทุกวันเพื่อเสริมวิตามินและเกลือแร่ และยังต้องกินให้หลากหลาย เพราะในผักแต่ละชนิดมีสารอาหารไม่เหมือนกัน การกินคละเคล้ากันจะไปช่วยเสริมกันและกัน
  4. ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ถ้าเป็นโปรตีนจากเนื้อสัตว์ควรเป็นเนื้อปลา และเป็นอาหารที่มีความจุไขมันต่ำ จึงควรเลี่ยงอาหารประเภททอดหรือมีไขมันในปริมาณสูง
  5. การกินมื้อเย็นเพื่อสุขภาพ ต้องกินในปริมาณน้อย เน้นผักผลไม้ที่หลากหลาย เป็นอาหารที่ย่อยง่าย ในเวลาก่อนเข้านอน 4 ชั่วโมง และฝากเพิ่มเติมถึงผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารไม่ควรทานรสเผ็ดจัด


บทความโดย หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

การล้างผักให้สะอาดน่ารับประทาน

การล้างผักให้สะอาดน่ารับประทาน

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ผัก ผลไม้ที่วางขายในท้องตลาดนั้น ตรวจพบสารเคมีตกค้างอยู่เป็นจำนวนมาก แม้แต่ผักที่ระบุว่าเป็น “ผักปลอดสารพิษ” มาเรียนรู็วิธีการล้างผักให้สะอาดพร้อมรับประทานกันค่ะ

วิธีการล้างผัก ผลไม้ที่ช่วยลดปริมาณสารพิษตกค้าง
  • ล้างด้วยน้ำยาล้างผัก จะลดสารพิษได้ประมาณ ร้อยละ 25
  • ล้างผัก ผลไม้ แล้วแช่ในด่างทับทิมสีชมพูอ่อนๆ นาน15 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 40
  • ล้างผัก ผลไม้ โดยเปิดก๊อกน้ำไหลผ่านตลอดเวลา พร้อมทั้งถูผักผลไม้ 3-5 นาที ลดสารพิษได้ ร้อยละ 60
  • ล้างผัก ผลไม้ แล้วแช่ในน้ำส้มสายชู (ผสมน้ำส้มสายชู 250 ซีซี : น้ำ 2 ลิตร ) แช่ไว้นาน 5 นาที จะลดสารพิษได้เกือบหมด
  • ใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 1 กะละมัง แช่นาน 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกที ลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 29-38
  • ใช้โซเดียมไปคาร์บอเนต (ผงฟู) 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอุ่น 1 กะละมัง (20 ลิตร) แช่นาน 15 นาที ลดปริมาณ สารพิษได้ร้อยละ 90-95
  • ลอกหรือปอกเปลือกชั้นนอกของผัก ผลไม้ออกทิ้ง เด็ดผักเป็นใบ ๆ แล้วแช่น้ำสะอาดนาน 10-15 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 27-72
  • ต้มหรือลวกผักด้วยน้ำร้อน ลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 48-50
แค่นี้เราก็จะได้ผักที่สะอาดไว้รับประทานแล้วค่ะ
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ผัก ผลไม้ที่วางขายในท้องตลาดนั้น ตรวจพบสารเคมีตกค้างอยู่เป็นจำนวนมาก แม้แต่ผักที่ระบุว่าเป็น “ผักปลอดสารพิษ” วิธีการล้างผักให้สะอาด

บทความโดย Foodie...อันยอง