เผยสติปัญญามนุษย์ เพิ่มขึ้นในทุกเจเนอเรชั่น

เรามักได้ยินคำพูดในเชิงสบประมาทของคนรุ่นใหม่อยู่เสมอว่า เทียบแล้วยังห่างไกลกันมากกับสติปัญญาของคนรุ่นเก่าก่อน อย่างไรก็ตาม คำกล่าวในทำนองดังกล่าวไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเท่าใดนัก เนื่องจากผลการค้นคว้าวิจัยหลายต่อหลายครั้งแสดงให้เห็นในทางตรงกันข้ามว่า สติปัญญาของมนุษย์นั้นพัฒนาสูงขึ้นเรื่อยๆในแต่ละชั่วคนที่ผ่านพ้นไป
ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาวิจัยเรื่องพัฒนาการของคนหรือกลุ่มบุคคลในช่วงเวลาหลายปีหรือที่เรียกกันว่าลองกิจูดดินัล สตัดดี้ ของทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยอาเบอร์ดีน ร่วมกับคณะกรรมการสุขภาพแห่งสกอตแลนด์ เอ็นเอชเอส กรัมเปียน ที่เผยแพร่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้ ไม่เพียงยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว ยังให้เหตุผลว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นอีกด้วย
ทีมวิจัยร่วมดังกล่าว ดำเนินการศึกษากลุ่มตัวอย่างจำนวน 751 ที่เกิดในเมืองอาเบอร์ดีน แคว้นสกอตแลนด์ ประเทศอังกฤษในโครงการศึกษาที่เรียกว่า "อาเบอร์ดีน เบิร์ธ โคฮอร์ท" โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่มตามปีเกิด คือกลุ่มแรกเกิดในปี 1921 ส่วนกลุ่มหลังเกิดในปี 1936 กลุ่มตัวอย่างทั้งสองนี้ต้องผ่านการทดสอบเพื่อการวิจัยทุกคน ครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ปี จากนั้นก็ดำเนินการทดสอบอีกเป็นระยะๆ อีกรวม 5 ครั้ง ระหว่างปี 1998 ถึงปี 2011
ในการทดสอบครั้งแรกต่อจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 2 เจเนอเรชั่นเมื่ออายุ 11 ปีนั้น ค่าความแตกต่างทางด้านไอคิวเปรียบเทียบ ต่างกันที่ 3.7 จุดระหว่างผู้คนสองยุคดังกล่าว แต่เมื่อมีการทดสอบเพื่อวัดไอคิวเมื่อกลุ่มตัวอย่างอายุได้ 62 ปี ค่าความต่างทางด้านไอคิวเปรียบเทียบดังกล่าวกระโจนพรวดขึ้นเป็น 16.5 จุด
ดร.โรเบิร์ต สตาฟฟ์ ผู้นำการศึกษาวิจัยครั้งนี้ยอมรับว่า การเพิ่มขึ้นของความฉลาดของคนรุ่นที่เกิดในปี 1936 ดังกล่าวนั้นถือว่าสูงจนน่าประหลาดใจ และแสดงให้เห็นว่าค่าความฉลาดโดยเฉลี่ยของประชาชนทั่วไปไม่จำกัดเฉพาะในอาเบอร์ดีนในเจเนอเรชั่นดังกล่าวน่าจะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน
โจนาธานพลัคเกอร์ นักวิจัยด้านสติปัญญาและนักจิตวิทยาการศึกษา ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษาวิจัย กล่าวว่า ผลการวิจัยครั้งใหม่นี้มีคุณลักษณะที่น่าสนใจตรงที่แสดงให้เห็นว่าค่าความต่างทางด้านไอคิวเปรียบเทียบเมื่อกลุ่มตัวอย่างเติบใหญ่ขึ้นนั้นเพิ่มขึ้นสูงมากในช่วงระยะเวลา 50 ปี ซึ่งเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่า ความชาญฉลาดของคนเรา อย่างน้อยที่สุดก็ในส่วนที่ใช้ทำบททดสอบนั้น ไม่ได้ตายตัวในตอนอายุน้อยๆ แต่จะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงอายุของคนเรา
ผลการศึกษาใหม่นี้สอดคล้องกับงานวิจัยก่อนหน้านี้หลายชิ้นในส่วนที่เกี่ยวกับปรากฏการณ์เติบโตของไอคิวโลกที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นซึ่งเรียกกันว่า "ฟลินน์ เอฟเฟกต์" ตามชื่อ เจมส์ อาร์. ฟลินน์ นักวิจัยสติปัญญามนุษย์ชาวอเมริกัน
ดร.โรเบิร์ต สตาฟฟ์ กล่าวว่า ผลการศึกษาวิจัยอาเบอร์ดีน ชี้ให้เห็นที่มาที่ก่อให้เกิดฟลินน์ เอฟเฟกต์ ว่าโดยรวมแล้วเป็นผลที่เกิดจากสภาพแวดล้อมโดยธรรมชาติ เมื่อมาตรฐานการครองชีพของคนเราดีขึ้น หลายๆ อย่างก็ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา อาทิ ภาวะโภชนาการ, การศึกษา, ความมั่นคงในชีวิต และปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบอื่นๆ อีกมาก ทำให้ความสามารถในการแก้ปัญหา (ในการทดสอบ) ก็เพิ่มตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม นายไมเคิล วูดลีย์ นักวิชาการด้านสติปัญญาอีกราย แย้งว่า ผลวิจัยที่อาเบอร์ดีน น่าจะสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้นของความสามารถในการทำบททดสอบมากกว่าอย่างอื่น หรือไม่ก็แสดงให้เห็นถึงความชำนาญเฉพาะทางที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่มาตรวัดบางด้านในงานวิจัยที่ตนดำเนินการชี้ว่าลดต่ำลงเล็กน้อย
โดยเฉพาะในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์คิดค้นนวัตกรรมต่างๆ หรือแม้แต่การแก้ปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนมากกว่า ยังคงถือว่าคนรุ่นก่อนเหนือกว่าคนรุ่นนี้อยู่ไม่น้อย

อาหารบำรุงสายตา

เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญยิ่งของคนเรา แต่เมื่อมีการใช้นานเป็นเวลานาน หรือเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ ก็มักจะมีปัญหาอันเนื่องมาจากสุขภาพของดวงตาที่เสื่อมถอยลง นอกจากการดูแลรักษาสุขภาพของดวงตาด้วยการใช้งานอย่างเหมาะสมแล้ว ยังควรเสริมด้วยการกินอาหารที่ช่วยบำรุงหรือช่วยลดความเสื่อมของดวงตาอีกด้วย ดังนั้นเราจึงต้องหาสารอาหารที่ช่วยลดความเสื่อมของดวงตา เพื่อบำรุงดวงตาของเราให้ดี
วิตามินเอ
เราถูกสอนให้ท่องตั้งแต่เด็กๆ ว่า วิตามินเอเกี่ยวข้องกับตา นั่นก็เป็นเพราะว่า วิตามินเอช่วยให้เซลล์รับแสงทำงานได้ดี เมื่อร่างกายขาดวิตามินเอ จึงทำให้เกิดความลำบากในการเห็นเมื่ออยู่ในที่แสงสลัวหรือมืด ความสามารถในการแยกแยะสีบางชนิดเลวลง และทำให้ตาขาวแห้ง กระจกตาเป็นแผล หากขาดวิตามินเอรุนแรงจะทำให้ตาดำแห้ง เกิดการอักเสบ ไปจนถึงขั้นทำให้ตาบอดได้
อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินเอ ได้แก่ เครื่องในสัตว์ ตับ ไข่แดง นอกจากนี้ยังมีในอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ ได้แก่ ผักสีเขียว และเหลืองส้ม เช่น แครอท ฟักทอง ตำลึง บร็อคโคลี ผักโขม มันเทศ
สารต้านอนุมูลอิสระ
ลูทีนและซีแซนทีนจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่ทำงานใช้สายตามาก เช่น คนที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ในแต่ละวันหรือต้องทำงานอยู่กลางแจ้งที่มีแสงแดดจ้า คนที่ต้องขับรถกลางคืนบ่อยๆ ที่มักจะถูกแสงไฟรถที่วิ่งสวนมาสาดเข้าตาบ่อยๆ นอกจากนั้นยังพบว่าการรับประทานลูทีนและซีแซนทีนจะช่วยชะลอและลดโอกาสของการเกิดต้อกระจกลงได้
อาหารที่มีลูทีน และ ซีแซนทีน ได้แก่ ผักและผลไม้ที่มีสีเขียวเข้มและสีเหลือง เช่น คะน้า ปวยเล้ง ผักโขม บร็อคโคลี ข้าวโพด ฟักทอง แครอท มะละกอ
โอเมก้า 3
เป็นกรดไขมันที่เป็นโครงสร้างไขมันสำคัญในสมองและจอประสาทตา และเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากอาหาร ช่วยป้องกันดวงตาแห้ง พบในน้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันปลา ปลาทะเล เช่น แซลมอน ปลาทู ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล หรือ ปลากระพง ปลาช่อน ปลาดุก เป็นต้น
โฮลเกรน-ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี
โฮลเกรน มีใยอาหารสูง อุดมด้วยวิตามินอี วิตามินบีรวม แร่ธาตุต่างๆ มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ คือจะถูกร่างกายย่อยและดูดซึมอย่างช้าๆ ทำให้น้ำตาลในเลือดค่อนข้างสม่ำเสมอ จากงานวิจัยพบว่าการบริโภคธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อยเป็นประจำ สามารถช่วยลดการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ถึง 8% อาหารที่เป็นแหล่งของโฮลเกรน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เล่ย์ และซีเรียลโฮลเกรน
การกิน ก็เหมือนกับการบำรุงรักษาสายตาจากภายใน ส่วนการปรับพฤติกรรมการใช้สายตาเป็นการดูแลป้องกันอันตรายกับสายตาจากภายนอก ดังนั้นหากทำทั้งสองอย่างไปพร้อมกัน ก็จะช่วยถนอมและรักษาดวงตาให้อยู่กับเราไปได้อีกนานเท่านานนะคะ

ดื่มน้ำอย่างไรให้ได้ผลดี ?

ทุกอย่างมีข้อดี ข้อเสีย เสมอค่ะ มากไปน้อยไปก็ไม่ควร อย่างการดื่มน้ำ ที่เขาว่ากันว่าดื่มน้ำมากๆ ก็จะดี แต่ที่จริงแล้ว ร่างกายของเราต้องมีสมดุล เพราะฉะนั้นเราจึงควรรู้จักการดื่มน้ำที่ถูกต้องเพื่อผลดีกับร่างกายเรานะคะ
สำหรับการดื่มน้ำที่ถูกต้องนั้น ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำ 2-3 แก้วติดต่อกันในทันที หันมาใช้วิธีการดื่มไปเรื่อยๆ เพื่อให้ร่างกายได้นำน้ำเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ในส่วนต่างๆ ของร่างกายค่ะ และควรหยุดการดื่มน้ำพร้อมๆ กับการรับประทานอาหาร เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การย่อยไม่ดีได้ ควรเลือกดื่มน้ำก่อนการรับประทานอาหารอย่างมากไม่เกิน 1 แก้ว เพื่อให้น้ำย่อยมีประสิทธิภาพในการย่อยอาหารได้เต็มที่ หลังทานอาหารเสร็จแล้ว 40 นาที ค่อยดื่มน้ำตามปกติ เพื่อให้กระเพาะได้ทำการย่อยอาหารเสียก่อน
การแบ่งช่วงเวลาการดื่มน้ำ
นอกจากการดื่มน้ำที่ถูกต้องแล้ว ก็ยังต้องมีการแบ่งเวลาและปริมาณการดื่มน้ำที่ถูกต้องเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซับเอาไปใช้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์ เรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะ ว่าเราต้องดื่มน้ำเวลาไหนและปริมาณเท่าไหร่กันบ้าง...
- ตื่นนอนตอนเช้าดื่ม 1 แก้ว เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ
- ตอนสายๆ ประมาณ 2 แก้ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทํางานไประยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้นจึงควรดื่มน้ำเพื่อมาชําระของเสียเหล่านั้นออกไป
- ตอนบ่ายๆ และตอนเย็น ช่วงละประมาณ 3 แก้ว
- ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลําไส้และกระเพาะอาหาร และยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น
+ ดื่มน้ำอุ่นสิดี +
นอกจากการดื่มน้ำที่ถูกต้อง การแบ่งช่วงเวลาและปริมาณที่เหมาะสมแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญนั่นคือ การเลือกดื่มน้ำอุ่น นะคะ เพราะน้ำอุ่นนั้นดื่มง่ายกว่าน้ำธรรมดา เพื่อให้อุณหภูมิของน้ำที่ดื่มไม่ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกาย จะได้ไม่เป็นการไปดึงอุณหภูมิร่างกายให้เย็นลง อุณหภูมิโดยปกติของร่างกายคนเรานั้นอยู่ที่ 36-37 องศาเซลเซียส ถ้าเราดื่มน้ำเย็นๆ สัก 2 องศาเซลเซียส น้ำเย็นจะต้องไปดึงความร้อนของร่างกายมาทำให้อุณหภูมิของน้ำเท่ากับร่างกาย การดูดซึมจะทำงานได้ ทำให้ร่างกายสูญเสียพลังงานและเสียเวลาในการปรับสมดุลให้คืนสู่ปกติ
ดูซิ ! แค่การดื่มน้ำเนี่ย ยังต้องมีวิธีการดื่มที่ถูกต้องและปริมาณที่เหมาะสม แต่อย่าละเลยกันเป็นอันขาดนะคะ ดูแลร่างกายเราซะตั้งแต่วันนี้ เพื่อความแข็งแรงในวันหน้าค่ะ

นักวิทย์ฯค้นพบไวรัสทำให้เราโง่มากขึ้น

นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐค้นพบชนิดหนึ่งที่เมื่อติดเข้าไปในสมองมนุษย์ทำให้คนเราทำให้เราฉลาดน้อยลง


ปัจจุบันคนเราคงสงสัยว่าอะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้เราโง่แล้วยิ่งโง่เข้าไปอีก ซึ่งข้อสงสัยที่ว่านี้อาจได้รับคำตอบจากนักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐกลุ่มหนึ่ง พวกเขาค้นพบว่ามีไวรัสชนิดหนึ่งที่เมื่อติดเข้าสู่สมองมนุษย์แล้วจะยิ่งทำให้มนุษย์ฉลาดน้อยลงยิ่งขึ้น
ไวรัสที่ว่านี้ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อนในกลุ่มคนสุขภาพดี เพราะไวรัสมีผลกระทบต่อกระบวนการการรับรู้เกี่ยวกับกระบวนการสร้างภาพจำ และการระบุตำแหน่งที่อยู่ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบมาจากโรงเรียนสอนการแพทย์จอห์นส์ ฮอปกินส์ และมหาวิทยาลัยเนบราสก้า โดยพวกเขาตรวจพบไวรัสเพิ่มความโง่นี้ในช่องคอ ที่พวกเขานำเอาคนสุขภาพดีจำนวน 90 คน มาทำการตรวจหา และพบว่าพวกเขามีไวรัสอาศัยอยู่ในช่องคออยู่ราว 40 ราย
ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตามร่างกายคนเรามีแบคทีเรียและเชื้อโรคหลายชนิดอยู่ในร่างกายเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ไวร้สที่ค้นพบนี้เป็นเชื้อที่มีผลกระทบต่อระบบการรับรู้ แต่ไวรัสชนิดนี้ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพียงแค่อาศัยอยู่ในร่างกาย มีผลทำให้นิสัยและการรับรู้ของเราเปลี่ยนไปเท่านั้น
by Yawittha Kannu
ที่มา : metro.co.uk

เจ้าหญิงเอวบางแบบอย่างของเด็กๆ?

เด็กๆกับการดูเป็นของคู่กันนะคะ แต่บางครั้่งตัวการ์ตูนบางตัว ก็อาจจะสร้างความเชื่อหรือความเข้าใจให้กับเด็กๆในแบบที่ผิดๆได้ โดยไม่ตั้งใจ หลายฝ่ายจึงพยายามที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติแบบนั้น
แม้จะบอกว่าการ์ตูนถูกสร้างมาเพื่อเด็กๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็ยังมีเนื้อหาของการ์ตูนหลายเรื่อง ที่ถูกตั้งคำถามเรื่องความไม่เหมาะสม ขณะที่ตัวการ์ตูนบางตัว ถูกมองว่าเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้กับเยาวชน
การ์ตูนขวัญใจเด็กทั่วโลกอย่างบรรดาเจ้าหญิงจากเรื่องต่างๆของ Walt Disney เอง ก็ถูกมองว่าอาจจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กผู้หญิงจากทั่วโลกเช่นกัน จากการที่ตัวการ์ตูนเหล่านี้ถูกออกแบบให้มีรูปร่างที่ผอมบางจนเกินจริง เอวเล็กคอดจนไม่สามารถหาได้ในผู้หญิงจริงๆ
รายงานข่าว Huffington Post เปิดเผยว่า "ลอริน แบรนท์ซ" คอลัมนิสต์ชื่อดังเป็นกังวลว่าเด็กผู้หญิงจากทั่วโลกจะซึมซับว่ารูปร่างของผู้หญิงที่ควรจะเป็น คือรูปร่างที่หนูน้อยเห็นจากบรรดาเจ้าหญิงในการ์ตูน เธอจึงลองตัดต่อภาพของเจ้าหญิงออกมาใหม่ ให้มีลักษณะใกล้เคียงกับรูปร่างของผู้หญิงจริงๆ ด้วยหวังว่ามันจะเป็นอีกหนึ่งเสียง ที่ช่วยกระตุ้นให้สังคม หันมาให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ที่อาจจะส่งผลเสียที่ยิ่งใหญ่ ในอนาคตเหล่านี้
โดยตัวการ์ตูนที่แบรนท์ซ นำเอาภาพมาตัดต่อใหม่มีทั้งหมด 6 ตัว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าหญิงที่ได้รับความนิยมในหมู่เด็กๆ ติดอันดับต้นๆ
แบรนท์ซเล่าอีกว่า เธอเป็นคนหนึ่งที่ตกหลุมรักบรรดาเจ้าหญิงเหล่านี้ แต่ก็มองเห็นความไม่ปกติที่ซ่อนเอาไว้เช่นกัน เพราะในช่วงเวลาที่เราเป็นเด็ก เราเพียงแค่เสพสื่อเหล่านี้เพื่อความบันเทิง โดยไม่รู้เลยว่า เราจะค่อยๆซึมซับเอามุมมองผู้หญิงเอวคอด รูปร่างผอมบางเหล่านี้เอาไว้ และกลายเป็นทัศนคติส่วนตัวที่เชื่อว่า นี่คือความงามที่สังคมต้องการ
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว การเขียนภาพตัวการ์ตูนเหล่านี้ ให้เอวใหญ่ขึ้น ก็ไม่ได้ทำให้ความสวยงามของตัวการ์ตูนลดน้อยลงไป แต่อาจจะปรับเปลี่ยนสังคมได้มากอย่างคาดไม่ถึง
อย่างไรก็ตาม แบรนท์ซไม่ใช่คนแรกและคนเดียว ที่ลุกขึ้นมากระตุ้นเตือนสังคมในเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมามีผู้คนตลอดจนศิลปินมากมาย ที่พยายามจะเรียกร้องให้ตัวการ์ตูนต้องรับผิดชอบสังคมในเรื่องเหล่านี้ด้วย
ซึ่งก็รวมถึงเด็กสาวชาวสหรัฐวัย 17 ปี "จีเวล มัวร์" ก็เคยทำแคมเปญเรียกร้องให้ Disney เพิ่มขนาดตัวให้กับเจ้าหญิงในการ์ตูนมาแล้ว ซึ่งในช่วงเวลาสั้นๆก็ผู้คนมากกว่า 31,000 คนที่มาร่วมลงชื่อ สนับสนุนความคิดของเธอ
และแม้ว่าจนถึงวันนี้ข้อเรียกร้องเหล่านี้อาจจะยังไม่ได้รับการตอบรับมากนัก แต่อย่างน้อยมันก็ได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า เราไม่ควรนิ่งนอนใจกับเรื่องใกล้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวข้องกับเด็กๆ เพราะมันอาจกลายเป็นทัศนคติที่ผิดๆของพวกเขาจนยากที่จะเปลี่ยนแปลง
แค่เพียงเพราะดูการ์ตูนที่ดูเหมือนไม่พิษภัย แต่ที่จริงแล้ว มันอาจจะซ่อนอันตรายเอาไว้แบบคาดไม่ถึง

by Veeranphat Inthama

DIYถุงใส่ของวินเทจจากเสื้อตัวเก่า

วันนี้เรามีDIYมาฝาก เผื่อว่าวันหยุดใครไม่อยากไปไหนก็นั่งทำงานประดิษฐ์อยู่ที่บ้าน ใครมีเสื้อที่ไม่ใส่แล้วครั้นจะส่งต่อให้เพื่อนก็เยินเกินไป หรือจะเอาไปขายมือสองตัว20บาทก็ไม่รู้จะขายได้ไหม ดังนั้นเราเอามารีไซเคิลให้เป็นของใช้ในบ้านกันดีกว่าค่ะ กับโปรเจคส์เล็กๆ "ถุงใส่ของวินเทจจากเสื้อตัวเก่า"
อุปกรณ์

วิธีทำ

1. ขั้นตอนแรกตัดส่วนแขนตามความสูงของถุงผ้าที่เราอยากได้ ดังภาพ

2. ตัดผ้าดิบขนาดใหญ่ความแขนเสื้อที่เราตัดเล็กน้อย เพื่อนำมาซ้อนด้านใน

3. เย็บตามรอยปะดังภาพ หากใครที่กังวลว่า ทำออกมาไม่สวยแน่ๆ เพราะเย็บผ้าแบบด้นถอยหลังไม่เป็น จริงๆแล้วเราสามารถใช้ฝีเย็บเนาได้เลย เพียงแต่เพิ่มความถี่สักหน่อย รับรองออกมาสวยไม่แพ้กัน

4. นำถุงมาซ้อนกันโดยให้ถุงผ้าดิบอยู่ด้านในแล้วพับปากถุงผ้าดิบลง อาจจะตกแต่งเพิ่มด้วยลูกไม้หรือของตกแต่งอื่นๆตามใจชอบ
แค่นี้เราก็จะได้ถุงผ้าสไตล์วินเทจประดับบนโต๊ะหรือใส่ของจุกจิก หากใครคิดว่าถุงแค่นี้ใส่ของบนโต๊ะไม่พอหรอก.. อย่าลืมค่ะ ว่าเรายังมีแขนเสื้ออีกข้างอยู่ :) ขอให้มีความสุขกับงานDiyในวันหยุดที่จะมาถึงนะคะ
โดย Anya

แบบทดสอบจิตวิทยา : งานแบบไหนเหมาะกับคุณ ?

งานแบบไหนเหมาะกับคุณ
1. เวลาแสดงความคิดเห็น 
ก. ความคิดเห็นตัวเองถูกต้องที่สุด 
ข. รับฟังความคิดเห็นคนอื่นเสมอ 
ค. เชื่อความคิดเห็นของคนอื่นมากกว่า 
ง. ฟังหลายคนไว้ก่อนแล้วค่อยมาคิดใหม่ 

2. ถ้าคุณไปออกเดทกับแฟนแล้วแฟนคุณเค้าบอกว่าสั่งอะไรก็ได้เลย คุณจะสั่งอะไร 
ก. อาหารทั่วๆไป 
ข. ของโปรดของเขา 
ค. ขอแพงๆไว้ก่อน 
ง. ไม่สั่งดีกว่า แค่น้ำก็พอ อิ่มแล้ว 

3. ถ้ามีการจัดละครเวที ของทางโรงเรียนละคร คุณจะรับหน้าที่อะไร 
ก. จัดการเรื่องเวทีและฉากละคร 
ข. รับบทเด่นสุดของเรื่องเลย เพราะอยากเป็นที่รู้จัก 
ค. เป็นตัวประกอบดีกว่า 
ง. ต้องเป็นผู้กำกับเท่านั้น 

4. เวลาว่างคุณจะทำอะไร 
ก. อ่านหนังสือ หรือหาความรู้เพิ่มเติม 
ข. เข้าคอร์สเรียนเต้นรำ หรือว่ายน้ำ 
ค. หาของอร่อยๆทาน 
ง. ทำกิจกรรมอะไรก็ได้ที่จะก่อให้เกิดประโยน์ต่อตัวเองมากที่สุด 

5. ปัญหาใหญ่ในชีวิตคุณคืออะไร 
ก. เรื่องความรัก น่าหนักใจ 
ข. เงินไม่พอใช้สิเรื่องใหญ่สุด 
ค. เรื่องทั่วๆไป 
ง. เยอะแยะไปหมด เป็นปัญหาไปซะทุกเรื่อง 

6. คุณจะทำยังไงถ้าเรือที่คุณนั่งเกิดล่มขึ้นมา 
ก. แบ่งหน้าที่ให้ช่วยกัน 
ข. พูดปลอบใจและให้กำลังใจกัน 
ค. ร้องหาคนช่วยเหลือ 
ง. หาอุปกรณ์ช่วยเหลือให้ผู้อื่นก่อน 

7. คุณมักจะทำอะไรในช่วงพักร้อน 
ก. หางานพิเศษทำเพิ่ม 
ข. เดินทาง ท่องเที่ยว อยากไปไหนก็จะไป 
ค. นอนจนหมดวัน ไม่ไปไหนทั้งนั้น 
ง. ทำงานเพื่อส่วนรวม งานบริการสังคม 

8. สิ่งใดที่ทำให้คุณภูมิใจในตัวเองที่สุด 
ก. ได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนในแข่งขันกีฬาประจำปี 
ข. เป็นคนที่เพื่อนไว้ใจที่สุด สามารถเล่าความลับให้ฟังได้ 
ค. ได้เป็นเพื่อนกับคนที่มีชื่อเสียง 
ง. การที่ได้เป็นที่รู้จักของคนส่วนมาก หรือ เป็นดาราที่มีชื่อสียง 

9. คุณชอบใช้น้ำหอมแบบไหน 
ก. ฉันไม่ชอบใช้น้ำหอม 
ข. กลิ่นที่หวานๆหรือ ชวนให้น่าหลงใหล 
ค. กลิ่นหอมสบายๆ สดชื่นๆ 
ง. กลิ่นไหนก็ได้ เน้นที่ราคาพอรับได้ ไม่แพงมาก 

10. คุณอยากรู้เรื่องราวชีวิตของใครมากที่สุด 
ก. คนที่ทำงานแบบต้องเสี่ยงกับอันตรายมากๆ 
ข. นักการเมือง 
ค. ซุปเปอร์สตาร์ ดาราดัง 
ง. คนที่ทำงานเพื่อสังคม เสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง 

11. ภาพยนตร์แนวโปรดของคุณคือแนวไหน 
ก. บู๊แอคชั่นสู้กันทั้งเรื่อง 
ข. ดราม่า สู้ชีวิตสุดๆ 
ค. หนังรักโรแมนติก หวานกันจนจบ 
ง. ได้หัวเราะทั้งเรื่อง คลายเครียดดี 

12. เปิดตู้เสื้อผ้าคุณดูส่วนมากจะเจอเสื้อผ้าแบบไหน 
ก. เรียบๆ ใส่ง่ายๆ ได้ทุกโอกาส 
ข. เสื้อผ้าออกแนวไปงานกลางคืน หรูหรา ระยิบระยับ 
ค. เสิ้อผ้าที่เน้นรูปร่าง เซ็กซี่ 
ง. เซอร์ๆ สบายๆ ลุยๆ ไม่ต้องกลัวเลอะ 

13. ใครไม่รู้ อยู่ๆก็มาชวนไปเที่ยว เอาไงดีล่ะ 
ก. ใครจะไปด้วยง่ายๆ ไม่มีทางซะหรอก 
ข. นั่งคิดๆ ไม่น่าไว้ใจ อยากรู้เค้าต้องการอะไรกันแน่ 
ค. ลองดูก็ได้ อาจจะสนุก แปลกดี 
ง. ไปสิ แต่ต้องไปที่ๆเราคุ้นเคยนะ 

14. วันๆทำแต่เรื่องเดิม เบื่อจัง ทำไงดีล่ะ 
ก. หาสิ่งใหม่ๆทำทันที 
ข. ค่อยๆคิดค่อยๆเปลี่ยน 
ค. ปล่อยไปเรื่อยๆ
ง. ช่างมันเถอะ อย่าคิดมากเลย 

15. คุณคิดว่า คนอื่นเค้ามองคุณยังไงกันนะ 
ก. เป็นตัวอย่างที่ดี น่ายกย่อง 
ข. ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย 
ค. ไม่น่าคบ ไม่อยากยุ่งด้วย 
ง. ภูมิใจในตัวคุณ 

16. คุณคิดว่าคนที่คุณชอบจะพอใจมากที่สุดถ้าคุณ.............. 
ก. แต่งตัวแบบเซ็กซี่สุดๆ 
ข. ทำอาหารจานโปรดให้เค้าทานได้ 
ค. ชมเค้าว่าเค้าช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน 
ง. มองเขาด้วยความหลงใหล 

17. กิจกรรมนอกจากงานประจำของคุณคืออะไร 
ก. เข้าค่าย ทำประโยชน์ให้สังคม ประเทศชาติ 
ข. นัดเพื่อนๆมาเฮฮาปาร์ตี้กันดีกว่า 
ค. เข้าห้องสมุดหาความรู้เพิ่มเติม 
ง. อยู่เฉยๆว่างๆไม่ทำอะไรทั้งนั้น 

18. บุคคลแบบใดที่คุณปลื้มมากๆ 
ก. คนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น 
ข. คนดังทุกคน 
ค. คนที่มีจิตใจงดงาม 
ง. คนที่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร วางตัวดี 

19. ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนรักเป็นยังไงบ้าง 
ก. ไม่มีอะไรตื่นเต้น เรื่อยๆ 
ข. ทะเลาะกันตลอด แต่สุดท้ายก็ดีเหมือนเดิม 
ค. หวานซะน้ำตาลเรียกพี่ เพื่อนๆต่างพากันอิจฉา 
ง. เข้าใจกัน มีอะไรคุยกันได้ทุกเรื่อง 

20. คุณมีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องสิทธิส่วนบุคคล 
ก. ไม่มีความคิดเห็นใดๆ ทั้งนั้น 
ข. ใช้สิทธิอย่างเต็มที่ 
ค. ไม่ใช้ดีกว่า ดูเหมือนเอาเปรียบคนอื่นเกินไป 
ง. เป็นผู้ปลุกระดมให้ทุกคนใช้สิทธิส่วนบุคคล 
รวมคะแนน 
1. ก = 4 .... ข = 3 .... ค = 1 .... ง = 2 
2. ก = 2 .... ข = 1 .... ค = 4 .... ง = 3 
3. ก = 3 .... ข = 2 .... ค = 1 .... ง = 4 
4. ก = 2 .... ข = 3 .... ค = 1 .... ง = 4 
5. ก = 3 .... ข = 4 .... ค = 2 .... ง = 1 
6. ก = 4 .... ข = 1 .... ค = 3 .... ง = 2 
7. ก = 3 .... ข = 4 .... ค = 1 .... ง = 2 
8. ก = 4 .... ข = 3 .... ค = 2 .... ง = 1 
9. ก = 4 .... ข = 3 .... ค = 2 .... ง = 1 
10. ก = 3 .... ข = 4 .... ค = 2 .... ง = 1 
11. ก = 3 .... ข = 4 .... ค = 2 .... ง = 1 
12. ก = 2 .... ข = 3 .... ค = 4 .... ง = 1 
13. ก = 1 .... ข = 2 .... ค = 4 .... ง = 3 
14. ก = 4 .... ข = 3 .... ค = 2 .... ง = 1 
15. ก = 3 .... ข = 2 .... ค = 1 .... ง = 4 
16. ก = 4 .... ข = 3 .... ค = 2 .... ง = 1 
17. ก = 3 .... ข = 2 .... ค = 4 .... ง = 1 
18. ก = 4 .... ข = 1 .... ค = 2 .... ง = 3 
19. ก = 2 .... ข = 4 .... ค = 1 .... ง = 3 
20. ก = 1 .... ข = 3 .... ค = 2 .... ง = 4

วิเคราะห์คะแนน
20-40 คะแนน : งานช่วยเหลือผู้คน 
คุณเป็นคนที่เข้าใจคนอื่นได้ดีเวลาใครมีปัญหาคุณก็รับฟังและให้คำแนะนำที่ดีได้ เรียกได้ว่าคนอย่างคุณชอบที่จะช่วย เหลือคนอื่นมากกว่าที่จะให้คนอื่นมาช่วยเหลือตัวคุณงานที่เหมาะกับคนอย่างคุณคงเป็นงานการเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือคนทุกข์ยากตามสถานสงเคราะห์ หรือมูลนิธิต่างๆ นั่นเอง
41-60 คะแนน : งานอิสระและสร้างสรรค์ 
คุณเป็นคนที่เชื่อมั่นในความคิดและการกระทำของตัวเองค่อนข้างสูงจึงไม่ชอบนักหากต้องมีคนมาคอยชี้นิ้วสั่งให้คุณ ทำโน่นทำนี่ คนอย่างคุณจึงไม่เหมาะกับการทำงานที่ต้องอยู่ในอำนาจของใคร แต่เหมาะกับการทำงานอิสระ เป็นเจ้านายของตัวเอง คิดและทำงานจากตัวของ คุณเองมากกว่า อีกทั้งคุณไม่ชอบการทำงานที่ซ้ำซากทุกวันๆ ได้ งานที่ได้แสดงความคิดสร้างสรรค์แปลกๆ ใหม่ๆ ตลอดเวลา จึงเป็นงานที่คุณปรารถนา และเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
61-80 คะแนน : งานบริหาร 
คุณเป็นคนที่มีความสามารถในการพูดจาโน้มน้าวจิตใจผู้คนได้ดี และมีพรสวรรค์รู้ว่าต้องชักชวนอย่างไรผู้คน จึงจะทำตามความต้องการของคุณได้ เพราะฉะนั้นงานในระดับผู้บริหารจึงเป็นงานที่เหมาะกับคุณเป็นอย่างยิ่ง และที่สำคัญคุณชอบการแข่งขัน และมีความทะเยอทะยานในชีวิตค่อนข้างสูง จึงเป็นเรื่องไม่ยากที่คุณจะประสบความสำเร็จจากการทำงานในลักษณะนี้จากความเป็นตัวของคุณเอง!

โดย: EZ RIYA

รู้จักไหม "นมควาย" ไม่ใช่อย่างที่คิด แต่คุณภาพคับแก้ว เหลือล้นนะจะบอกให้

คนไทยรู้จัก"" ในฐานะพืชสมุนไพรพื้นบ้านมาอย่างยาวนานตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย
-ผลรับประทานได้ จะมีรสหวาน และถ้านำมาตำผสมกับน้ำจะเป็นยาแก้ผดผื่นคันตาม ตัว และแก้เม็ด เป็นยาเย็นถอนพิษ
-เนื้อไม้และราก นำมาต้มรวมกันจะเป็นยาแก้ไข้กลับ หรือไข้ซ้ำ และเป็นยาเนื่องจากทานของแสลงเป็นพิษเข้าไป
-ราก เป็นยาบำรุงน้ำนม แก้โรคผมแห้งของสตรีที่คลอดบุตร และอยู่ไฟไม่ได้
ข้อมูล จาก สมุนไพรดอทคอม

อาหารทะเลทำพิษ!!ทำไงดี?

แต่ก่อนไม่แพ้ แต่ช่วงนี้รู้สึกว่ากินของทะเลหลายอย่างพร้อมกันแล้วมีอาการคัน เป็นผื่นที่ผิวหนังบางครั้ง จะทำให้แพ้ของทะเลไปตลอดมั้ยคะ??
การแพ้อาหารเกิดจากอาหารที่รับประทานเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายชนิด E (Immunoglobulin E) มากกว่าปกติทำให้เซลล์บางชนิดในร่างกายปล่อยสารเคมีบางอย่างออกมา เช่น ฮิสตามีน (Histamine) จึงเกิดอาการคัน เป็นผื่น บางรายอาการอาจจะรุนแรง เช่นเกิดลมพิษทั้งตัว หลอดลมตีบ หรือช็อกได้ โดยสารอาหารที่แพ้จะไปกระตุ้นร่างกายทีละน้อย ในระยะแรกจึงยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนถึงระยะเวลาหนึ่งก็จะเกิดอาการจนสังเกตได้
ถ้าอาการแพ้ไม่มากนักอาจรับประทานยาแก้แพ้ (ยาต้านฮีสตามีน) ซึ่งมีหลายชนิด เช่น คลอเฟนิรามีน ไฮดร็อกไซซีน ซึ่งหาซื้อได้ในร้านขายยาทั่วไป หากเป็นมากหรือเป็นๆ หายๆ ควรไปตรวจหาสาเหตุที่แพ้ด้วยการทดสอบผิวหนัง หรือการตรวจทางโลหิตวิทยา หลังจากทราบสาเหตุชนิดของอาหารที่แพ้แล้วควรงดอาหารทะเลอย่างน้อย 3-5 ปี ซึ่งในบางรายก็อาจหายเองได้ แต่ในรายที่แพ้รุนแรงควรให้แพทย์ดูแลใกล้ชิด

น้ำแร่ดีกว่าน้ำธรรมดาจริงหรือ?

ดีกว่าน้ำธรรมดาจริงหรือ?

A น้ำแร่ (Mineral Water) ที่มีราคาแพงกว่าน้ำธรรมดาและมาในขวดที่ดูหรูหรากว่านั้น นายสุพจน์ เจิมสวัสดิพงษ์ อธิบดี กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สรุปความสั้นๆ ว่าคือน้ำบาดาลนั่นเอง เพียงแต่มีแร่ธาตุใดแร่ธาตุหนึ่งมากเป็นพิเศษ และเตือนว่าหากดื่มทุกวันก็มีผลให้ร่างกายเสียสมดุลได้ เช่น น้ำแร่ที่มีฟลูออไรด์ช่วยบำรุงรักษาฟันและกระดูก แต่หากมีมากเกิน 0.7 มิลลิกรัม จะทำให้ฟันตกกระในเด็กที่อายุต่ำกว่า 7 ขวบ ส่วนผู้ใหญ่จะทำให้กระดูกผิดปกติ นอกจากนี้คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ยังได้เขียนบทความเผยแพร่ทางเว็บไซต์ ระบุว่าผู้ป่วยบางโรคก็ไม่เหมาะที่จะดื่มน้ำแร่ เช่น โรคไต หัวใจ หรือความดันโลหิตสูง เป็นต้น ถ้าไม่มั่นใจว่าแต่ละวันกินอาหารได้ครบตามหลักโภชนาการหรือไม่ หรือวันใดรู้สึกอ่อนเพลีย ก็ไม่ผิดที่จะเลือกดื่มน้ำแร่โดยเลือกแบรนด์ที่น่าเชือถือ (น้ำแร่จากฝั่งยุโรปได้รับการยอมรับมากที่สุด) ก็มีวิธีดื่มน้ำแร่ที่ถูกต้องอยู่ 2 วิธีคือ ดื่ม 1 ลิตรภายใน 30 นาทีขณะท้องว่าง ซึ่งการดื่มน้ำแร่วิธีนี้จะใช้กับน้ำแร่ชนิดที่หวังผล เช่น เพื่อขับนิ่วออกจากร่างกาย (น้ำแร่ที่มีซัลเฟต-ไบคาร์บอเนตสูง) หรือดื่มน้ำแร่ 500 มล. และทยอยดื่มทีละ 10 มล. ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. โดยจิบน้ำน้อยๆ ขณะอ่อนเพลีย หรือพร้อมมื้ออาหาร ทางที่ดีไม่ควรดื่มน้ำแร่ยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งซ้ำเป็นประจำติดต่อกัน เพราะจะได้รับแร่ธาตุตัวใดตัวหนึ่งมากเกินความจำเป็นและส่งผลเสียต่อร่างกายแทนที่จะได้ประโยชน์ไป

ถึงวัน 'กะเทย' เป็นอาจารย์ ถึงวันสังคมไทยก้าวหน้า

สัปดาห์นี้ เราจะไปติดตามชีวิตของอาจารย์ใหม่ ของคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์  ที่เปิดเผยตัวตนว่าเป็น กะเทย ท่ามกลางคำถามต่ออัตลักษณ์ทางเพศ ความเหมาะสม และความน่าเชื่อถือของวิชาชีพครู
นี่เป็นการทำงานในวิชาชีพครูครั้งแรก ของเคท ครั้งพิบูลย์ หรือ อาจารย์เคท อาจารย์ใหม่ในคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากจบปริญญาตรี ในระดับเกียรตินิยม และระดับปริญญาโท จากคณะนี้ ด้วยวิทยานิพนธ์ซึ่งศึกษา ชีวิตของกะเทยในพัทยาอย่างลึกซึ้ง
ขณะเรียน เธอเป็นนักกิจกรรมเพื่อปกป้องสิทธิและความเป็นธรรมของ กลุ่ม LGBT ทำงานกับองค์กรเอกชนหลายแห่ง มีประสบการณ์ ในการศึกษาดูงาน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ รวมถึงนำเสนองานวิชาการ เรื่องสุขภาวะทางเพศ ในหลายประเทศทั่วโลก
เหมือนกับลูกศิษย์ของเคท ซึ่งบอกว่า พวกเขาเชื่อมั่นในศักยภาพ ความรู้และความเป็นครูของเคท มากกว่าจะนำเรื่องเพศมาตัดสิน ว่าคนเป็นกะเทยไม่เหมาะเป็น อาจารย์ 

สอดคล้องกับเพื่อนร่วมวิชาชีพ ที่เห็นว่า เพศไม่ใช่เงื่อนไขในการกีดกัน LGBT ที่มีความรู้ให้ออกจากวิชาชีพ และเชื่อมั่นว่า องค์ความรู้และสถานะทางวิชาการของเคท จะช่วยให้สังคมไทยมีทัศนคติต่อ LGBT ดีขึ้น
เคท ย้ำว่าไม่ควรเอาสถานะของเธอ มาเป็นมาตรวัดความก้าวหน้าเรื่องเพศในสังคมไทย เพราะยังมี LGBT อีกมาก ที่มีความรู้ ความสามารถ แต่ถูกปฏิเสธจากนายจ้าง เพราะเป็นกะเทย หรือคนข้ามเพศ ขณะที่ในสังคมไทย ยังมีครูอาจารย์อีกหลายคน ที่จำเป็นต้องปิดบังเพศที่แท้จริงของตัวเอง เพราะกลัวว่าจะไม่ได้รับการยอมรับ และขาดความน่าเชื่อถือ
วันนี้ อาจารย์เคทผ่านด่านแรกในทางวิชาการมาแล้ว เพราะได้ก้าวเข้าสู่วิชาชีพครู ที่แม้ไม่ใช่อาชีพในฝัน แต่เธอก็เลือกทำ เพราะมั่นใจว่าอาชีพจะช่วยสร้างความเข้าใจเรื่องเพศให้กับสังคมไทย นี่จึงเป้าหมายในวิชาชีพนี้ ที่เธออาจต้องใช้เวลา รวมถึงความพยายามอย่างหนัก เพื่อพิสูจน์ให้คนในสังคมไทยได้เห็นว่า ความรู้และศักยภาพที่เธอมี สำคัญกว่า เพศที่เธอเป็น
by Janewit Chausawathee

จากใจ นักศึกษาคนหนึ่ง ถึงชัชชาติ แบบอย่างชีวิต Car Free ปั่นฉลุยตัวจริง

มีการโพสต์เฟซบุ๊ก ระบุ ถึงความประทับใจ ที่มีต่อนาย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยสมาชิกผู้ใช้เฟซบุ๊ก ที่ใช้ชื่อว่า Sittidej Juthakan
ซึ่ง อดีตรัฐมนตรี ได้ไปบรรยาย ที่มหาวิทยาลัญธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่่อวันที่ 1พ.ย. ที่ผ่านมา โดยระบุว่า
เสาร์ที่ผ่านมา ชัชชาติ อดีตรัฐมนตรีคมนาคมมาบรรยายที่ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ก่อนบรรยายเห็นรถตู้โฟคสีดำจอดอยู่ที่ลานจอดรถในคณะเลยนึกว่าคงเป็นรถของชัชชาติกับผู้ติดตาม ปรากฏว่าบรรยายเสร็จทั้งชัชชาติทั้งผู้ติดตามต่างคว้าจักรยานพับกันคนละคันที่จอดแอบไว้ที่มุมห้องบรรยาย กางพรึ่บๆๆ แล้วปั่นฉลุยออกจากมหา′ลัยไปลงเรือคลองแสนแสบ(ซึ่งแม้แตีคนกรุงเทพหลายคนยังขยาด)กลับบ้าน
อีกครั้งหนึ่งที่เคยเจอชัชชาติคือครั้งที่ยังดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีแล้วมาเปิดงานครบรอบ21 ปี รฟม. ชัชชาติก็ปั่นจักรยานจากบ้านมาที่รฟม.เช่นกัน
...บางคนบอกว่าไปนั่งรถไฟโหนรถเมล์ตั้งหลายทีไม่เห็นจะมีผลงานอะไรแต่ส่วนตัวแล้วคนๆนี้คือรัฐมนตรีที่ใช้ชีวิตแบบ car free จริง ๆ เดินทางจริง ปั่นจริง ไม่ใช่แค่นั่งรถมาปั่นเปิดงานแล้วก็นั่งกลับ แล้วจะมีใครที่น่าวางใจให้มาแกัปัญหาการขนส่งสาธารณะมากกว่าคนๆนี้อีก ...

นร.จีนชอบใจครูวาดเหมือนจริง ‘แผนที่โลก'

เด็กนักเรียนในประทับใจกลเม็ดสอนภูมิศาสตร์ คุณครูวาดบนกระดานดำ โชว์แผนที่โลกในสัดส่วนถูกต้อง พลางเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ช่วยให้ไม่เบื่อเรียน
ครูวิชาภูมิศาสตร์ หวังโปหมิง มักวาดแผนที่โลกพลาง บรรยายพลาง ระหว่างชั่วโมงเรียนที่โรงเรียนในเมืองหนิงเซี่ย มณฑลส่านซี เขาวาดอย่างตั้งใจ ใช้เวลาประมาณ 4 นาที
เจ้าตัวฝึกปรือฝีมือสเกตช์ภาพประเทศและทวีปต่างๆอยู่ทุกวัน ทำให้วาดได้ถูกสัดส่วน นักเรียนเห็นแล้วเข้าใจว่า ประเทศไหน ทวีปใด อยู่ตรงส่วนไหนของโลก
หลี่เยตัน นักเรียนในชั้นของเขา บอกว่า แต่ก่อนรู้สึกว่าวิชาภูมิศาสตร์น่าเบื่อ แต่ครูหวังวาดรูปทำให้เรียนสนุก เวลาสอน ครูชอบเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศโน้นประเทศนี้
ครูหวังบอกว่า ครูของเขาก็วาดรูปในชั้นเรียนเหมือนกัน เขาจึงเอาอย่างบ้าง สอนแบบนี้ดึงดูดความสนใจของเด็กๆได้
บนโต๊ะทำงานในห้องพักครู หวังมีลูกโลก หนังสือแผนที่ เอาไว้ศึกษา เพื่อให้วาดภาพได้อย่างมีรายละเอียด
เด็กๆบอกว่า เรียนกับครูหวัง เหมือนได้ท่องไปทั่วโลก โดยไม่ต้องเดินออกจากห้องเรียนเลย

400-500 กรัมต่อวัน กินผักเท่านี้ "ชีวิตดี"

หากต้องการมีสุขภาพดีอาศัยการออกกำลังกายอย่างเดียวคงไม่พอ หรือแม้จะเลือกกินสิ่งที่มีประโยชน์ควบคู่ ก็ยังต้องกลับมาดูว่าสิ่งนั้นเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแต่ละวันหรือไม่

รศ.สิริชัย อดิศักดิ์วัฒนา คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า ประชากรไทยร้อยละ 70 ของกลุ่มประชากรที่สำรวจ มีการรับประทานและผลไม้น้อยกว่าปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีผักที่รับประทานได้ถึง 330 ชนิด ซึ่งเกิดจากสภาพสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ที่เวลาส่วนใหญ่มักอยู่กับการทำงาน มีเวลาค่อนข้างจำกัดขณะที่อาหารจานด่วนที่ประชาชนนิยมซื้อ มักมีส่วนประกอบของผักและผลไม้ค่อนข้างน้อย

"หากรับประทานผักและผลไม้มากกว่า 569 กรัมต่อวัน จะช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากโรคทางเดินหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต และระบบทางเดินอาหาร แต่หากรับประทานผักและผลไม้ในปริมาณต่ำกว่า 249 กรัมต่อวัน จะมีความเสี่ยงในโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้น"

การรับประทานผัก และผลไม้ให้เพียงพอ ยังช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งได้ถึง 50% ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ถึง 30% ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองได้ 6% โรคมะเร็งทางเดินอาหาร กระเพาะอาหาร หลอดอาหาร 1-6% นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่า การรับประทานผักและผลไม้ในสัดส่วนดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ไม่ติดต่อเรื้อรัง ทั้งเบาหวานและความดันอีกด้วย

ดร.คีธ แรนดอล์ฟ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการของสถาบันสุขภาพนิวทริไลท์ เผยว่า ไฟโตนิวเทรียนท์หรือสารอาหารตามธรรมชาติที่พบในพืชต่างๆ มีหลากสีสัน หากได้รับประทานจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงยิ่งขึ้น อาทิ สีแดงหรือไลโคปีน พบมากในมะเขือเทศ ช่วยบำรุงต่อมลูกหมาก และช่วยบำรุงปอดและหัวใจ, สีเขียวหรือลูทิอีน และซีแซนทิน พบมากในบร็อกโคลี ผักกาดเขียว ช่วยบำรุงสายตา, สีขาวหรือเคอเวทิน พบมากในหอมหัวใหญ่ แอปเปิล ช่วยบำรุงกระดูกและข้อต่อ
สีม่วงหรือแอนโธไซยานิน พบมากในผลไม้ตระกูลเบอรี่ อาทิ บลูเบอรี่ สตรอเบอรี่ ช่วยบำรุงสมอง และบำรุงหัวใจ, และสีเหลืองและส้มหรือเบต้า-แคโรทีน พบมากในแครอต ฟักทอง ช่วยบำรุงสายตา และบำรุงหัวใจ เฮสเพอริดิน พบมากในผลไม้ตระกูลส้ม ช่วยบำรุงหลอดเลือดแดง

"ปริมาณและความหลากหลายของผักและผลไม้มีความ สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งเราควรรับประทานผักและผลไม้ในทุกๆ โอกาสที่สามารถทำได้ ตามปริมาณที่องค์การอนามัยโลกแนะนำคือ 400-500 กรัมต่อวัน"

ที่มา นสพ.มติชน

8 วิธีหลับดี

คุณรู้สึกอึดอัด กระสับกระส่าย หรือรู้สึกยากเย็นไหม กว่าจะนอนหลับให้ได้สักคืน บอกได้เลยว่าคุณไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ประสบปัญหานี้ ผลสำรวจล่าสุดจาก Slumbertime แสดงให้เห็นว่า ผู้ใหญ่ประมาณ 80% มีปริมาณการนอนหลับโดยเฉลี่ยต่ำกว่า 7.5 ชั่วโมงต่อคืน และอีกประมาณ 10% ที่นอนกระสับกระส่ายเป็นเวลาถึง 4 ชั่วโมง หากคุณมีปัญหาโรคนอนไม่หลับหรือตื่นกลางดึก ลองเอา 20 คำแนะนำที่ได้รับการทดสอบมาแล้วเหล่านี้ไปลองใช้ดู เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคุณจะนอนหลับดีขึ้นกว่าทุกคืนที่ผ่านมา
1. ตื่นนอนและเข้านอนให้ตรงเวลา เช่น ตื่นนอนตอน 7 โมงเช้า แม้ว่าคืนก่อนหน้านี้จะเข้านอนดึกแค่ไหน แต่ถ้าตั้งใจจะเซตระบบให้ตัวเองแล้ว ต้องดีดตัวเองออกจากที่นอนให้ได้ เช่นเดียวกันเมื่อเข้านอนก็ต้องพยายามให้ตรงเวลาด้วย
2. หลีกเลี่ยงแสงจากหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นแสงจากหน้าจอโทรทัศน์ แล็ปท็อป หรือสมาร์ทโฟน ต้องปิดอุปกรณ์เหล่านี้ให้หมด เพราะแสงสีฟ้าจากหน้าจอเหล่านี้มีผลต่อนาฬิกาชีวิต กระตุ้นให้ร่างกายหลับยากมากยิ่งขึ้น
3. ดื่มนมก่อนนอน งดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน แล้วหันมาดื่มนม เพราะแคลเซียมในนมช่วยให้ร่างกายนำกรดอะมิโนทริปเฟน (Tryptophan) ที่อยู่ในน้ำนม ผลิตสารเมลาโทนิน (Melatonin) ที่ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันการดื่มนมก่อนนอนเป็นประจำทุกวันก็เป็นการช่วยให้สมองสั่งงานอัตโนมัติว่าถึงเวลาที่คุณต้องนอนหลับแล้ว
4. ทานกล้วย ในกล้วยก็มีกรดอะมิโนทริปเฟน ซึ่งไปผลิตสารเมลา-โทนิน และเซโรโทนิน (Serotonin) ฮอร์โมนแห่งความสุข ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น อีกทั้งยังมีแมกนีเซียม (Magnesium) ที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้อีกด้วย
5. ออกกำลังกายช่วงเวลา 4 โมงเย็นถึง 1 ทุ่ม ออกกำลังกายพอให้ได้เหงื่อ เพื่อปลดปล่อยความเครียดและให้ร่างกายได้หลั่งสารอะดรีนาลีน สารแห่งความสุข หากออกกำลังกายหลังจากช่วงเวลานี้จะทำให้อุณหภูมิของร่างกายและระดับอะดรีนาลีนสูงเกินไป อุณหภูมิภายในร่างกายที่พอเหมาะจะช่วยทำให้หลับง่ายขึ้น
6. งดเหล้า สำหรับบางคนแม้เหล้าจะช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น แต่ก็เป็นการหลับที่ไม่มีคุณภาพ มีงานศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอนเป็นสาเหตุที่ทำให้ตื่นทุกๆ 90 นาที หรือนอนหลับไม่สนิทตลอดคืน
7. เลิกบุหรี่ มีงานวิจัยหนึ่งเปิดเผยว่า ผู้ที่สูบบุหรี่จะใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าที่จะหลับลงได้ เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ อีกทั้งยังเป็นการนอนที่ไม่ค่อยสนิทดีนัก
8. ยาสมุนไพร หากลองทำทุกวิถีทางแล้วยังไม่ได้ผล อย่าเพิ่งหันไปพึ่งยานอนหลับทั่วไป เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากแพทย์เป็นกรณีพิเศษ ลองหันมาพึ่งยาสมุนไพรธรรมชาติอย่าง วาเลอเรี่ยน (Valerian) ทานติดต่อกันสัก 1-2 สัปดาห์ ก็น่าจะช่วยให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้น

′หลุมเมฆ′โผล่น่านฟ้าออสเตรเลีย


เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน สำนักข่าวเอบีซีของออสเตรเลียรายงานว่า ประชาชนในรัฐวิกตอเรียทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศออสเตรเลีย ประสบพบเจอกับปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "" (The Fallstreak Hole) ซึ่งหาดูได้ยากเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณบ่ายโมง ตามเวลาท้องถิ่น วันที่ 3 พฤศจิกายน ทั้งนี้ กลุ่มผู้ที่สนใจเกี่ยวกับก้อนเมฆระบุว่า หลุมเมฆจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อละอองน้ำของก้อนเมฆจำนวนหนึ่งแข็งตัว จากนั้นกลายเป็นผลึกน้ำแข็ง และรวมตัวกันตกอยู่ในระดับชั้นก้อนเมฆมีทั้งวงกลมและวงรี

เพนกวินสกอตแลนด์เลื่อนขั้นติดยศ ‘เซอร์'

 เพนกวินชื่อดังของสวนสัตว์สกอตแลนด์ได้รับการประดับยศอัศวินเป็นระดับ ‘เซอร์' โดยพิธีการประดับยศเลื่อนขั้นจากเพนกวินสามัญชน ให้กลายเป็นเพนกวินชั้นอัศวินนี้ ได้รับการแต่งตั้งโดยกองทัพนอร์เวย์ ซึ่งวันที่ประดับยศกองทหารนอร์เวย์ได้เดินทางมาสกอตแลนด์เพื่อติดยศที่ปีก พร้อมมีพิธีสวนสนามให้ด้วย นั่นทำให้ นิลล์กลายเป็นเพนกวินตัวแรกของสวนสัตว์ (และน่าจะของโลก) ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกของกองทหารนอร์เวย์ เนื่องจากทางสวนสัตว์มีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ กับกองทหารรักษาพระองค์นอร์เวย์ และทางสวนสัตว์ถือว่าพิธีนี้เป็นเกียรติอย่างยิ่ง เนื่องมาจากเมื่อ 40 ปีที่แล้ว เรือโท นิลส์ เอจีเลียน ทหารนอร์เวย์ เดินทางมาแวะที่สวนสัตว์บ่อยๆ ทุกปีเพื่อเยี่ยมเพนกวิน เพราะถือว่าเพนกวินเป็นตัวนำโชคของกองทัพ กระทั่งเมื่อ 20 กว่าปีก่อนที่นีลส์จะเสียชีวิต ทางสวนสัตว์จึงนำมาชื่อของเขามาตั้งให้กับนกเพนกวินเพื่อเป็นเกียรติ ก่อนที่จะมีพิธีติดยศให้เพนกวินเพื่อเป็นเกียรติและรำลึกถึงเขา
Text : พลสัน นกน่วม

"อังกฤษ"พิมพ์หนังสือมากสุดในโลก ไฉนถูกตั้งคำถามยุคเฟื่องฟู หรือยุคการพิมพ์กำลังตาย?

สถิติเผย ปี 2556 อังกฤษพิมพ์หนังสือเกือบ 2,875 เล่ม ต่อจำนวนประชากร 1 ล้านคน มากกว่าที่ใดในโลก ขณะที่ในปี 2557 สำนักพิมพ์ในสหราชอาณาจักร พิมพ์หนังสือมากกว่า 20 เล่ม ทุกชั่วโมง! เดอะ การ์เดียน เผยรายงานจากสมาคมสำนักพิมพ์ระหว่างประเทศที่รวบรวมข้อมูลจาก 40 ประเทศทั่วโลก ระบุว่า ผู้จัดพิมพ์หนังสือในสหราชอาณาจักรนั้นตีพิมพ์หนังสือใหม่ และพิมพ์ว้ำหนังสือกว่า 184,000 เล่ม ในปี 2556 ในจำนวนนี้ เป็นอีบุ๊ก 60,000 เล่ม ซึ่งเท่ากับตีพิมพ์หนังสือราว 2,875 เล่ม ต่อประชากร 1 ล้านคน ทำให้สหราชอาณาจักรเป็นประเทศที่มีการจัดพิมพ์หนังสือเทียบกับจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก ทั้งนี้ ประเทศและเขตเศรษฐกิจกลุ่มที่มีการจัดพิมพ์หนังสือเกิน 1,000 เล่ม ต่อประชากร ได้แก่ ไต้หวัน, สโลวีเนีย, ออสเตรเลีย ขณะที่สหรัฐตีพิมพ์เพียง 959 เล่มต่อจำนวนประชากรเท่านั้น ข้อมูลในอังกฤษดังกล่าวมาจาก สมาคมสำนักพิมพ์ในสหราชอาณาจักร ห้องสมุด และ ตัวแทนผู้ออกเลขเรียกหนังสือ ISBN แห่งชาติ โดยไม่ได้รวมเอาหนังสือที่มีการจัดพิมพ์อย่างอิสระมารวมด้วย จอห์นนี เกลเลอร์ ดีลเลอร์หนังสือจากเคอร์ติส บราวน์ ระบุว่า ตัวเลขดังกล่าวนี้เป็นสัญญาณว่า อังกฤษกำลังเข้าสู่ยุคเฟื่องฟูทางวัฒนธรรม หรือไม่ก็ยุคการพิมพ์กำลังตาย เขากล่าวว่า "แน่นอนว่าเป็นเรื่องบ้าคลั่ง ที่จะพิมพ์หนังสือต่อประชากรเยอะมาก ในขณะที่โดยเฉลี่ยแล้ว คนอ่านหนังสือกันเพียง 1-5 เล่มต่อปีเท่านั้น แล้ว 184,000 เล่มที่เหลือนั้นจะกลายเป็นของใช้หรูหราที่ไร้ประโยชน์อย่างนั้นหรือ?" ด้านเจมี่บังจากแคนนอนเกต สำนักพิมพ์อิสระ แสดงความกังวลว่า "ผมว่าเราพิมพ์หนังสือมากเกินไป รวมทั้งสำนักพิมพ์เราด้วย และมันทำให้เกิดผลเสียต่อคุณภาพของอุตสาหกรรมในภาพรวม เป็นเรื่องง่ายที่เราจะเป็นเจ้าของหนังสือ แต่เป็นเรื่องยากที่เราจะพิมพ์หนังสือที่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น หนังสือยิ่งน้อยเท่าไหร่ ก็จะยิ่ง...ยิ่งดีกว่าเท่านั้น" อย่างไรก็ตาม คนในแวดวงหนังสือหลายคนยังมองสถานการณ์นี้ในแง่บวก โรแลนด์ ฟิลิปส์ ผู้อำนวยการบริหารจากจอห์น เมอร์เรย์ ระบุว่า "สำหรับวัฒนธรรมที่หลากหลาย หนังสือนั้นเป็นสิ่งสำคัญ และสำนักพิมพ์นั้นกำลังเปิดโอกาสให้ความคิดเห็นทั้งหลายที่สมควรได้รับความสนใจนั้นมาอยู่บนแผงหนังสือ แม้ว่าหลายความเห็นอาจจะไม่ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสังคม" ส่วนเจนน์ แอชเวิร์ธ นักเขียนเจ้าของรางวัลเบตตี้ ทรัสก์ จากหนังสือเล่มแรก "A Kind of Intimacy" เห็นด้วยว่า "หนังสือที่เพิ่มขึ้น และมีคนที่พูดคุยกันเรื่องหนังสือมากขึ้นนั้นเป็นเรื่องยอดเยี่ยม บางทีชาวอังกฤษควรจะรับฟังความเห็นมากขึ้น แทนที่จะพูด และอ่านนิยายแปลให้มากขึ้น เป็นเรื่องแย่ที่มีบรรณารักษ์ที่สามารถแนะนำผู้อ่านให้เจอหนังสือที่ยอดเยี่ยมน้อยลง แต่การที่มีคนอ่านและเขียนหนังสือมากขึ้น แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องแย่เลย" ทั้งนี้ ในภาพรวม สหราชอาณาจักรเป็นประเทศที่มีการตีพิมพ์หนังสือมากเป็นอันดับ 3 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในยุโรป โดยประเทศจีน พิมพ์หนังสือมากเป็นอันดับ 1 โดยพิมพ์หนังสือใหม่ 444,000 เล่ม (เทียบกับจำนวนประชากรต่อ 1 ล้านคนเท่ากับ 325 เล่ม) และอันดับ 2 คือ สหรัฐฯ พิมพ์หนังสือใหม่ 304,912 เล่ม (959 เล่มต่อประชากร 1 ล้านคน) ริชาร์ด โมเลต์ ผู้อำนวยการบริการของสมาคมสำนักพิมพ์สหราชอาณาจักรระบุว่า สหราชอาณาจักรนั้นถือว่าเป็นผู้นำในด้านการส่งออก และกำลังชิงความได้เปรียบจากการใช้ภาษาอังกฤษ ความสร้างสรรค์แบบบริติช นวัตกรรม และประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมการพิมพ์ เขากล่าวว่า "การพิมพ์หนังสือของอังกฤษนั้นเป็นศูนย์กลางของความสำเร็จในเรื่องอุตสาหกรรมด้านความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งแสดงถึงสภาพกฎหมายและการค้าขายในประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายเรื่องลิขสิทธิ์ของเราที่ยิ่งส่งเสริมให้สภาวะเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง" จอห์นนี เกลเลอร์ เสริมว่า "เราอาจต้องเปลี่ยนความคิด และมองว่าอุตสาหกรรมการพิมพ์นั้นมีความสำคัญ เนื่องจากมีมูลค่าการส่งออกกว่า 1.5 พันล้านยูโร และต้องร่วมกันเรียกร้องการส่งเสริมด้านลิขสิทธิ์และภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย"

5 อันดับหนังสือขายดีที่บูธมติชน

ผ่านมา 1 อาทิตย์แล้วกับงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 19 งานหนังสือใหญ่ปลายปีที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่พร้อมใจมาร่วมออกบูธเป็นจำนวนมาก บรรดาหนอนหนังสือต่างทยอยมาจับจองหนังสือเล่มโปรดในงานกันอย่างหนาแน่นไม่ขาดสาย และไม่แพ้ใครกับบูธมติชน โซนพลาซ่าที่งานนี้ยกขบวนพาเหรดหนังสือดี หนังสือเด่น มาเอาใจนักอ่านอย่างจุใจ โดย 5 อันดับหนังสือขายดีที่บูธมติชน อันดับ 1 มาแรงแซงโค้งกับหนังสือกระแสแรงอย่าง" I Am Malala" โดยมาลาลา ยูซัฟไซและคริสติน่า แลมบ์ แปลโดย สหชน สากลทรรศน์ การันตีด้วยการคว้ารางวัลโนเบิล สาขาสันติภาพ ปีล่าสุดมาครอง ด้วยการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพทางการศึกษา ท่ามกลางความรุนแรงภายในปากีสถานของเธอและได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ "I Am Malala" ซึ่งหนังสือที่ถ่ายทอดประวัติศาสตร์บุคคลสำคัญสำคัญของโลกแบบนี้ นอกจากจะสามารถส่งแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านแล้ว ยังทำให้เราได้ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและป้องกันไม่ให้ผิดพลาดซ้ำในอนาคต อันดับ 2 กับนักเขียนอารมณ์ดี "หนุ่มเมืองจันท์" กับผลงานล่าสุด "คือลมหายใจ ไม่ใช่อากาศ" (ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ ลำดับที่ 23) กับหนังสือเล่มที่จะทำให้คุณรู้ว่า ถ้าคิดว่าเป็นแค่ "อากาศ" คุณจะปล่อยผ่านไป แต่ถ้ารู้ว่าสิ่งนั้นคือ "ลมหายใจ" คุณจะรักษาไว้ยิ่งชีพ หนังสือที่อ่านแล้วจะทำให้คุณเกิดแรงใจและกำลังใจที่ดี อันดับ 3 กับ"ราชันผู้พลัดแผ่น เมื่อพม่าเสียเมือง" โดยSudha Shah แปลโดย สุพัตรา ภูมิประภาส หนังสือเล่มเดียวในปัจจุบันที่จะทำให้ประวัติศาสตร์อันเลือนรางของราชวงศ์พม่าหลังสิ้นท่าให้กับเจ้าอาณานิคมอังกฤษฉายฉานและแจ่มชัดยิ่งขึ้นเป็นอีกหนึ่งเล่มที่สำนักพิมพ์มติชนภูมิใจนำเสนอ ตามมาติดๆกับ อันดับ 4 "เส้นทางพยัคฆ์ ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ของนักเขียนหญิงคนเก่ง "วาสนา นาน่วม" กับผลงานเล่มล่าสุดที่ได้มาเผยประวัติเบื้องลึกและเส้นทางกว่าจะก้าวมาอยู่ในบทบาทของ"นายกรัฐมนตรีคนที่ 29" ของประยุทธ์ จันทร์โอชา แฟนนักอ่านพลาดไม่ได้ อันดับที่ 5 กับหนังสือเด่นประจำปีที่บูธมติชน"ศาสตร์แห่งโหร 2558" หนังสือเด่นประจำปีของสำนักพิมพ์มติชน รับประกันความแม่นยำเป็นปีที่ 34 อัดแน่นไปด้วยการทำนายดวงชะตา โหราศาสตร์ และโชคชะตา-ราศี จัดเต็มกับขบวนโหราจารย์คุณภาพถึง 12 คน อาทิ หมอทรัพย์ สวนพลู โหราจารย์ระดับตำนาน มีแฟนคลับติดตามอย่างเหนียวแน่น, บุศรินทร์ ปัทมาคม เจาะลึกลัคนาราศีแบบรายเดือน, โสรัจจะ นวลอยู่ หรือ "นอสตราดามุสเมืองไทย" ชี้ดวงเมืองอย่างเผ็ดร้อนและน่าติดตาม และอีกหลากหลายหนังสือขายดีที่รอท่านนักอ่านอยู่ ติดตามหาอ่านกันได้ และพิเศษสุดเฉพาะในงานนี้เท่านั้นท่านจะได้พบกับโปรโมชั่นสุดพิเศษเอาใจคนรักหนังสือเช่นคุณ ที่บูธมติชน โซนพลาซ่า แฟนคลับนักอ่านพลาดไม่ได้...

โปรเด็ด หนังสือโดน มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 19

ต้องบอกว่าโปรแรงทุกปี สำหรับมหกรรมหนังสือระดับชาติ โดยปีนี้ถือเป็นครั้งที่ 19 แล้ว สำหรับงานหนังสือดีๆ ที่หนอนหนังสือทุกคนเฝ้ารอ สำหรับ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 - 26 ตุลาคม 2557 โดยมีสำนักพิมพ์ชั้นนำกว่า 400 แห่งทั่วประเทศเข้าร่วมจำหน่ายหนังสือในงาน แต่สำนักพิมพ์ไหนมีโปรโมชั่นอะไรบ้างติดตามได้เลย...
เริ่มกันที่บูธ แจ่มใส ปีนี้แจ่มใสเตรียมส่งความสุขเอาใจแฟนๆนักอ่าน ด้วยผลงานล่าสุดใหม่แกะกล่องจากทัพนักเขียนคุณภาพ ที่มาพร้อมส่วนลด 15% ทุกเล่ม และกิจกรรมพิเศษมากมาย อาทิ Jamsai Carnival ซื้อสนุกช็อปสนั่นกับหนังสือบุปเฟ่ต์ราคาพิเศษ 199 และ 399 บาท รวมถึงของแถมอีกมากมายที่ บูธแจ่มใส Y10 โซน Hall A นะจ๊ะ หรือใครไม่สะดวกเดินทางไปในงานสามารถเต็มอิ่มกับนิยายรักแจ่มใสด้วยส่วนลดและโปรโมชั่นแบบเดียวกันนี้ที่ แจมคลับ (ซอยแซมมี่ ข้างเมเจอร์ปิ่นเกล้า)

ด้านสำนักพิมพ์ ขวัญใจวัยรุ่น แซลมอน บุ๊ค หลังเป็นที่รู้จักเมื่อต้นปีที่ผ่านมาจากคลิปสุดฮา BKK 1st Time : ตอนโดนคนไทยด่าครั้งแรก ที่นำเอาลุงเนลสัน ฮาวร์ มาสัมภาษณ์ประสบการณ์โดนคนไทยด่าครั้งแรก ล่าสุดสำนักพิมพ์แซลมอน บุ๊ค ได้ปล่อยคลิปใหม่ล่าสุดออกมาแล้ว โดยจับลุงเนลสันคนเดิมมาร้องเพลงฮิต คืนความสุขให้ประเทศไทย โดยในงานมหกรรมหนังสือครั้งนี้สำนักพิมพ์แซลมอนก็ไม่ลืมพาลุงเนลสันมาให้แฟนๆ ได้พบตัวจริง ใครอยากเจอลุงเนลสันก็ไปเจอได้วันที่ 18 และ 23 ตุลาคมนี้ เวลา 12.00 น. - 14.00 น.
ขณะที่ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ปีนี้นำหนังสือที่น่าสนใจหลายเล่มหลากประเภทมานำเสนอให้กับผู้อ่านอีกเช่นเคย โดยหนังสือที่เด่นมากคือ "I am Malala" หนังสือที่นักอ่านจากทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ นอกจากนี้ สำนักพิมพ์มติชนยังมีหนังสือที่น่าสนใจอีกหลายเล่ม อาทิ ′เส้นทางพยัคฆ์ ประยุทธ์ จันทร์โอชา จาก′ทหารเสือ′สู่′หลังเสือ′ โดยวาสนา นาน่วม, ′คือลมหายใจ ไม่ใช่อากาศ′ หนังสือในชุดฟาสต์ฟู้ดธุรกิจของ ′หนุ่มเมืองจันท์′, ′ราชันผู้พลัดแผ่นดิน เมื่อพม่าเสียเมือง′ ของ Sudha Shah แปลโดยสุภัตรา ภูมิประภาส เป็นต้นhttp://www.youtube.com/watch?v=HM4KPTKu9Vg

ก.เอ๋ย ก.ไก่ ซ่อนอะไรใน แบบเรียน

"หยิบหนังสือของเราและปากกาของเราขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่ทรงอานุภาพกว่าอาวุธ เด็กคนหนึ่ง ครูคนหนึ่ง หนังสือหนึ่งเล่ม ปากกาหนึ่งด้าม สามารถเปลี่ยนโลกนี้ได้" คือคำที่ "" เด็กหญิงอายุ 17 ปีชาวปากีสถาน ได้กล่าวต่อหน้าสหประชาชาติเมื่อเธออายุครบ 16 ปีมาลาลา คือเด็กที่ลุกขึ้นมาต่อต้านตาลิบันที่ปิดกั้นการศึกษาในปากีสถาน เพราะต้องการควบคุมให้ผู้อยู่ใต้การปกครองไม่รู้หนังสือ
มาลาลาปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกตอนที่เธออายุเพียง 11 ขวบเท่านั้น โดยครั้งนั้น นายไซอุดดิน บิดาของเธอได้พาลูกสาวไปเข้าร่วมงานชุมนุมต่อต้านการโจมตีโรงเรียนสตรีของตาลิบัน
ในครั้งนั้น มาลาลาได้กล่าวสุนทรพจน์หัวข้อ "ตาลิบันอาจหาญอย่างไรในการระงับสิทธิขั้นพื้นฐานทางการศึกษาของฉัน" (How Dare the Taliban Take Away My Basic Right to an Education) จากนั้นเธอเริ่มมีชื่อเสียงจากการเขียนบล็อกให้ BBC ในชื่อ "กุล มาไค (Gul Makai)" และปรากฏตัวตามสื่อระดับนานาชาติ
มาลาลาเป็นเด็กผู้หญิงที่อยากเรียนหนังสือ อยากให้ทุกคนได้เรียนหนังสือ อยากให้สังคมมีเสรีภาพ อยากเห็นความเท่าเทียม อยากเห็นทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างได้ เธอเรียกร้อง เธอพูดในสิ่งที่เธอคิด... จนวันหนึ่งตาลิบันบุกถึงรถรับ-ส่งนักเรียน ในขณะที่เธอกำลังกลับจากโรงเรียนในวันนั้น มาลาลาในวัย 15 ปี โดนปืนโคลต์ .45 ยิงเข้าที่ศีรษะ
ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่อ่อนข้อ ไม่หยุดต่อสู้เพื่ออุดมคติของตนเองล่าสุดเมื่อไม่กี่วันมานี้ ชื่อของ "มาลาลา ยูซัฟไซ" เป็นข่าวดังไปทั่วโลกอีกครั้ง เพราะเธอได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ท่ามกลางความยินดีและเสียงชื่นชมเรื่องราวของมาลาลาอาจจะดูไกลตัว หากเรามองว่าเธอเป็นชาวต่างชาติ แต่หากมองประเด็นที่มาลาลาเรียกร้องคือสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาและความเสมอภาคในสังคม
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ห่างไกลใครเลย มนุษย์ทุกคนล้วนต้องการความเสมอภาคและต้องการการศึกษา เพื่อจะพัฒนาและยกระดับชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น ในประเทศไทยของเรามีการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีตำราเรียนที่รัฐจัดให้ประชาชน เราไม่โดนปิดกั้นการศึกษา แต่เราไม่อาจพูดได้เต็มปากว่า เราไม่โดนปิดกั้นความรู้และเรามีอิสระในการรับรู้ อีกทั้งเรายังไม่ตื่นตัวที่จะขวนขวายหาความรู้ ทั้ง ๆ ที่เรามีโอกาสเข้าถึงการศึกษามากกว่าหลาย ๆ ประเทศ
หากย้อนกลับไปมองอดีตอย่างพินิจพิเคราะห์ เราจะเห็นว่าแบบเรียนของไทยเรามีปัญหาอย่างไรบ้าง มีอะไรหรือไม่ที่แบบเรียนยังให้เราไม่มากพอ และมีบางอย่างที่แบบเรียนตั้งใจ "ยัด" ใส่เรา แต่ในตอนเป็นเด็กเรายังไม่รู้จักตั้งคำถามกับมัน ดังที่ "ปราบดา หยุ่น" นักเขียนเจ้าของรางวัลซีไรต์ ปี 2545 กล่าวว่า ตอนที่เรียนเรายังเป็นเด็ก เราอาจจะยังไม่ได้วิเคราะห์มันละเอียดชัดเจนขนาดนั้น แต่คิดว่ารัฐพยายามจำลองประเทศให้เป็นชุมชนเล็ก ๆ ตัวละคร ครอบครัว
ในเรื่องจะแทนอุดมคติที่ชาติต้องการให้ประชาชนคิด หรือมีแนวโน้มที่จะไปทางนั้น มันมีส่วนปลูกฝังความเชื่อและวิธีคิดบางอย่าง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเช่นกันกับ "จรัญ หอมเทียนทอง" นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) ที่กล่าวว่า แบบเรียนไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือการอ่านออกเขียนได้เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างพลเมืองตามอุดมคติของผู้นำในแต่ละยุค ผู้นำต้องการให้สังคมเป็นไปในทางไหนก็จะใส่ความคิดแบบนั้นลงไปในแบบเรียน ชาตินิยม คือสิ่งหนึ่งที่ตำราไทยปลูกฝังให้ประชาชนและเห็นผลเป็นที่สุด ภาพจำ-ทัศนคติที่คนไทยมองว่าเพื่อนบ้านคือศัตรู มองว่าเพื่อนบ้านด้อยกว่า ชาติไทยเหนือกว่า ล้วนแต่ได้รับการปลูกฝังมาจากแบบเรียนทั้งนั้น
หนังสือ "ชาตินิยมในแบบเรียนไทย" ของ สุเนตร ชุตินธรานนท์และคณะ ที่จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์มติชน ได้กล่าวไว้ว่า กระบวนการสร้างภาพลักษณ์ของชาติไทย และภาพลักษณ์ของประเทศรอบข้างที่ถูกปรุงแต่งขึ้น จนเกิดเป็นทัศนคติที่เป็นปรปักษ์ สอดแทรกสำนึกความเป็นชาตินิยมเป็นแก่นหลักในการเสนอชีวประวัติของชาติ และขับเน้นภาพความเป็นศัตรูของเพื่อนบ้านกระบวนการนี้ถ่ายทอดส่งผ่านออกสู่สาธารณะ ซึ่งกิจกรรมที่เป็นระบบที่สุดคือการส่งผ่านทางการศึกษาในระบบ ผ่านหลักสูตรการเรียนการสอนและแบบเรียน จนท้ายที่สุดก่อเกิดเป็นความทรงจำร่วมกัน และเป็น "ตำนานแห่งชาติ" ที่พร้อมจะถูกหยิบยืมไปเป็นมาตรฐานปรุงแต่งจินตนาการก่อเกิดเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ละครเวที ละครโทรทัศน์ ฯลฯ
หนังสือชาตินิยมในแบบเรียนไทยบอกว่า ปัญหาที่ไทยมีกับประเทศรอบข้างในปัจจุบันเป็นปัญหาใหม่และเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง จำเป็นต้องอาศัยการปรับโครงสร้างทางความรู้ใหม่ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนโลกทัศน์ใหม่ ซึ่งจุดเริ่มต้นการปรับโครงสร้างทางความรู้ใหม่จำเป็นต้องเริ่มจากสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด คือ การสำรวจสถานะขององค์ความรู้ที่มีอยู่เดิม เพื่อให้เข้าใจในข้อจำกัดและเพื่อความเป็นไปได้ในการแสวงหาหรือกำหนดทิศทางใหม่ให้แก่สังคมในการศึกษาและทำความเข้าใจเพื่อนบ้านต่อไปในอนาคต
ส่วน จรัญ หอมเทียนทอง กล่าวว่า หนังสือเป็นตัวจะนำพาประเทศเราไปสู่ความสำเร็จ การอ่านเป็นการทลายกำแพงความโง่เขลา เกาหลีใช้เวลาสามสิบปีในการพัฒนาประเทศ ก้าวข้ามหลายประเทศไป เช่นกันกับแนวคิดของงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 19 ที่จะจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันที่ 15-26 ตุลาคมนี้ ทางสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยจะจัดงานขึ้นในแนวคิด "ก.เอ๋ย ก.ไก่ เรียนรู้อดีต มุ่งสู่อนาคต" เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาการศึกษา นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯบอกว่า แนวคิดนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการจัดงานในสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังอ่อนไหว รัฐบาลกำลังจะปฏิรูปประเทศ การที่ประเทศไทยจะเริ่มนับหนึ่งใหม่ก็เปรียบเหมือนการเริ่มเรียน ก.เอ๋ย ก.ไก่ และยังมีการจัดนิทรรศการ "ระลึกชาติในแบบเรียน" นำเสนอวิวัฒนาการของแบบเรียนไทยในอดีตถึงปัจจุบัน ที่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาตลอด
"ก่อนจะเริ่มนับหนึ่งไปข้างหน้าเพื่อก่อความหวัง จะต้องแลไปข้างหลังเพื่อแก้ความผิดเสียก่อน กระทรวงศึกษาธิการควรส่งเจ้าหน้าที่มาดูงานนี้เยอะ ๆ เพราะในนิทรรศการระลึกชาติในแบบเรียน จะเน้นย้ำให้เห็นการสร้างแบบเรียนในอดีตที่ผ่านมาว่าประสบความสำเร็จและล้มเหลวอย่างไร ผลของการสร้างแบบเรียนตอบโจทย์การเมืองในอดีตสามารถสร้างผลกระทบระยะยาวของประเทศได้อย่างไร นอกจากมาดูเพื่อรำลึกความหลังกับแบบเรียนในวัยเด็กของตัวเองแล้ว จะทำให้รู้จักตัวตนของเรามากขึ้น และจะเห็นความผิดพลาดในอดีตเพื่อจะรู้ว่าเราจะเดินกันไปทางไหน" นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯกล่าว
สำหรับคนที่สนใจเรื่องราวของมาลาลา สาวน้อยหัวใจใหญ่ เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพคนล่าสุด พบกับหนังสือ"I Am Malala" ที่จะจุดไฟแห่งทางความคิดและปลุกพลังความอยากเรียนรู้ในตัวคุณ หรือถ้าอยาก "อ่าน" แบบเรียนไทยอย่างถ่องแท้ใน "ชาตินิยมในแบบเรียนไทย" เดินไปสัมผัสครอบครองได้ที่บูทสำนักพิมพ์มติชน โซนพลาซ่า
นอกจากนั้น ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งนี้ มีนิทรรศการ กิจกรรมเสวนา และหนังสือน่าสนใจมากมายจาก 435 สำนักพิมพ์ ที่รอคอยจะติดอาวุธทางปัญญาให้คนฟัง-คนอ่าน ...ไปอ่านกันเถอะ ถ้าอยากรู้ว่าการอ่าน-การศึกษาเปลี่ยนโลกได้จริงหรือเปล่า
รุ่งนภา พมมะศรี